คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055-1056/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนโรงเรือนออกจากที่เช่าอันเป็นข้อพิพาทที่มีอยู่ ต่อมาคู่กรณีได้ตกลงกันทำสัญญามุ่งหมายที่จะให้ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการเช่าที่ดินให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับฟ้อง ฉะนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายยอมผ่อนผันอันเกี่ยวกับข้อพิพาทที่กำลังมีอยู่แก่กัน ทำให้ข้อพิพาทเดิมของคู่กรณีได้ระงับสิ้นไป จึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และแม้สัญญาจะทำภายหลังโจทก์ฟ้องคดีแล้ว และกระทำกันนอกศาลก็ตาม ย่อมมีผลทำให้สิทธิดำเนินคดีของโจทก์ระงับ

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลสั่งพิจารณาพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแต่ละคนทำสัญญาเช่าที่ดินจากหม่อมราชวงศ์หญิงจันทร์รัตน์ กฤดากร ครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วไม่ได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ แต่จำเลยยังคงครอบครองที่เช่าต่อมา ต่อมาโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวและไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อ ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านขนย้ายออกไป จำเลยทราบการบอกกล่าวแล้ว แต่ไม่ยอมรื้อถอน เป็นการอยู่โดยละเมิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวาร และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า การรับโอนที่ดินของโจทก์เป็นการฉ้อฉล โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวเลิกการเช่า อำนาจฟ้องของโจทก์ระงับแล้วโดยสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ตกลงกับจำเลยซึ่งเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนบ้านออกจากที่เช่า และให้จำเลยทั้งสองสำนวนใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.4, ล.5 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 ข้อเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายกล่าวอ้างเป็นข้อพิพาทเดิมนั้นได้สละและก่อให้เกิดสิทธิตามข้อสัญญาอันใหม่ โดยผลแห่งสัญญาดังกล่าวทำให้ข้อพิพาทเดิมของคู่กรณีได้ระงับสิ้นไป พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหตุที่คู่กรณีตกลงทำสัญญาเอกสารหมาย ล.4 ล.5 เป็นกรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้รื้อถอนโรงเรือนออกจากที่เช่า อันเป็นข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ ต่อมาคู่กรณีได้ตกลงกันทำสัญญาเอกสารหมาย ล.4 ล.5 ในข้อสัญญามุ่งหมายที่จะให้ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการเช่าที่ดินให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นข้อที่เกี่ยวกับฟ้อง ฉะนั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายยอมผ่อนผันอันเกี่ยวกับข้อพิพาทที่กำลังมีอยู่แก่กัน โดยผลแห่งสัญญาเอกสารหมาย ล.4 ล.5 ทำให้ข้อพิพาทเดิมของคู่กรณีได้ระงับสิ้นไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แม้สัญญาจะทำภายหลังโจทก์ฟ้องคดีแล้วและกระทำกันนอกศาลก็ตาม ย่อมมีผลทำให้สิทธิดำเนินคดีของโจทก์ระงับ ที่โจทก์อ้างว่ามีคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล คู่กรณีต้องเสนอต่อศาล เพื่อให้ศาลจดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความและมีคำพิพากษาไปตามนั้น ดังปรากฏตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 ศาลฎีกาเห็นว่าตามบทกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่คู่กรณีตกลงทำสัญญากันต่อหน้าศาล ซึ่งศาลจำต้องมีคำพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีคดีฟ้องร้องต่อศาลแล้ว คู่ความจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนอกศาลไม่ได้

พิพากษายืน

Share