คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1847/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การรับสารภาพจะเป็นการชอบหรือไม่นั้น มิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเมื่อคู่ความมิได้โต้เถียงกันในศาลชั้นต้น และเมื่อศาลชั้นต้นจดรายงานว่าจำเลยขอถอนคำให้การรับสารภาพตามฟ้องตลอดข้อหาไม่สู้คดีนั้นเสียแล้วขอให้การใหม่ว่าขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ตลอดข้อหา ขอสู้คดี โจทก์แถลงไม่คัดค้าน ดังนั้น โจทก์จะยกมาอ้างเป็นข้ออุทธรณ์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สมคบกับพวกอีกหลายคนบังอาจบุกรุกเข้าไปในสวนผลไม้เบญจพรรณของโจทก์ ซึ่งโจทก์เช่าปลูกมา ๔๐ ปีเศษจากวัดแดงเปรมประชาราษฎร์ จำเลยกับพวกมีมีด ไม้ เหล็กมีคม ได้สมคบกันตัดฟันต้นผลไม้ต่าง ๆ ของโจทก์เสียหายราคา ๒๕,๐๐๐ บาท และลักตัดผลไม้ต่าง ๆ ของโจทก์ไปรวมราคา ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๓, ๓๓๔, ๓๓๕, ๘๓, ๙๐, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
ครั้งแรกจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยขอให้การรับสารภาพและยอมจะนำเงินมาใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ถึงวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและขอให้การปฏิเสธอีก คู่ความขอสืบพยานศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานเสร็จสำนวนแล้วพิพากษาว่า วัดแดงเปรมประชาราษฎร์ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองพืชผลไม้เป็นผู้ยินยอมให้จำเลยตัด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่มีเจตนาจะบุกรุก ฟ้องโจทก์ฐานลักทรัพย์เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยให้การรับสารภาพ คู่ความไม่สืบพยานจนศาลนัดฟังคำพิพากษา นับว่าคดีเสร็จสำนวนแล้ว คดีไม่มีเหตุสมควรให้จำเลยถอนคำให้การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การรับสารภาพไม่ชอบ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่ไปตามกระบวนความ
จำเลยทั้งหกฎีกาว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การรับสารภาพชอบแล้ว ขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่หรือพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมจำเลยทุกคนได้ยื่นคำให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำผิด ศาลชั้นต้นสอบแล้วจำเลยยืนยันตามคำให้การนี้ต่อมาในวันเดียวกันนั้น ศาลชั้นต้นได้จดคำให้การของจำเลยใหม่ว่าจำเลยขอถอนคำให้การเดิม ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องตลอดข้อหา และจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ศาลได้ไกล่เกลี่ยเปรียบเทียบแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันได้ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมแล้วขอรับสารภาพจะนำเงินมาชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาทในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๔โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน นัดพิพากษาวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๔วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๔ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าขอผัดชำระเงินให้โจทก์ไปในวันที่ ๑๗ เดือนเดียวกันเพื่อรอศาลตัดสินเสียก่อนที่ทำไปถือว่าไม่ได้ทำผิด เพราะโจทก์หมดสัญญาไปแล้ว ครั้นถึงวันที่๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๔ อันเป็นวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจดคำให้การจำเลยใหม่อีกว่า จำเลยขอถอนคำให้การที่รับสารภาพเสีย ขอให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ และจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยขอถอนคำให้การรับสารภาพตามฟ้องตลอดข้อหาไม่สู้คดีนั้นเสีย แล้วขอให้การใหม่ว่าขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ตลอดข้อหา ขอสู้คดี โจทก์ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การและให้การใหม่ได้ คู่ความขอสืบพยาน จึงได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสำนวน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การรับสารภาพชอบหรือไม่นั้นมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและคู่ความมิได้โต้เถียงกันในศาลชั้นต้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๑๗ธันวาคม ๒๕๑๔ โจทก์ก็แถลงไม่ค้าน ดังนั้น โจทก์จะยกมาอ้างเป็นข้ออุทธรณ์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ที่ศาลอุทธรณ์ยอมรับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ตามอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กล่าวแล้ว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นแต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้ออื่น
จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ในปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share