แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป มีจำเลยบางคนรับสารภาพ บางคนปฏิเสธ จำเลยที่รับสารภาพนั้นศาลชั้นต้นมิได้สอบถามเรื่องทนาย และมิได้มีทนายตลอดการพิจารณาของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ปฏิเสธได้แต่งตั้งทนายเข้าซักค้านพยานโจทก์ตลอดจนสืบพยานของตนมาแต่ต้นต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่รับสารภาพ ศาลยังไม่ได้สอบถามว่าจะมีทนายหรือไม่ คำพิพากษายังไม่ชอบ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาใหม่ศาลชั้นต้นได้ขอแรงทนายให้จำเลยที่รับสารภาพ ในวันนัดพร้อม โจทก์และจำเลยที่รับสารภาพและที่ปฏิเสธแถลงว่า ไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอและทนายจำเลยที่รับสารภาพ ก็ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือสืบพยานจำเลยอีก ศาลชั้นต้นถือว่าได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสร็จแล้วและพิจารณาคดีไปทีเดียว ดังนี้ การให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่มุ่งเฉพาะตัวจำเลยที่รับสารภาพเท่านั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ปฏิเสธทั้งสองคราวจึงครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คนร่วมกันมีมีด ปืน ปล้นเอาปืนยาว 1 กระบอก ราคา 2,000 บาท ฯลฯ ของนางเชือบ ทองใหญ่และเงิน 3,200 บาทของนางแสง วิชิตตานุรักษ์ รวมเป็นเงิน 10,900 บาทไป ซึ่งในการปล้นนี้จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีด ปืน ขู่เข็ญและว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย แล้วใช้ปืนยิง 1 นัด ทั้งนี้ เพื่อเป็นความสะดวกในการปล้นทรัพย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 10,900 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บังคับว่า ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการก็ให้ศาลตั้งทนายให้ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 นั้น ศาลยังไม่ได้สอบถามว่าจะมีทนายหรือไม่ ศาลพิพากษามายังไม่ชอบ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยได้ขอแรงทนายความให้จำเลยที่ 2 ตามที่จำเลยต้องการแล้ว ในวันนัดพร้อม จำเลยทั้งสองและโจทก์แถลงว่าไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอ และทนายจำเลยที่ 2 ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือนำสืบพยานจำเลยอีก
ศาลชั้นต้นถือว่าคดีได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสร็จแล้วจึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า การที่โจทก์จำเลยแถลงรับรองต่อศาลว่า จำเลยทั้งสองและโจทก์ไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอและทนายจำเลยที่ 2 ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือนำสืบพยานจำเลยเช่นนี้ ไม่ทำให้การสืบพยานที่ผิดกฎหมายแล้วกลายเป็นถูกกฎหมายขึ้นมาได้ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ก็ควรพิพากษายกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 1 มาถูกต้องหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งให้นายอัมพร ณ สงขลาเป็นทนายซักค้านพยานโจทก์ตลอดจนสืบพยานจำเลยที่ 1 มาแต่ต้นโดยศาลได้พิจารณาต่อหน้าจำเลยจนเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นว่ากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ 1 ทั้งสองคราวเป็นไปโดยครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ได้แถลงไม่ติดใจดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เป็นการเพียงพอ ประกอบทั้งการให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น มุ่งเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ซึ่งรับสารภาพแล้ว แต่ศาลยังไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 2 เรื่องต้องการมีทนายแก้ต่างหรือไม่เท่านั้น ฉะนั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ 1 จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ใช้ยันจำเลยที่ 1 ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยแต่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มาตรา 340 วรรค 4 ได้ถูกแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14นอกจากนี้ยืน