คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748-2749/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสั่งสินค้าจากต่างประเทศนำเข้ามาโดยทางเรือและขนถ่ายขึ้นที่ท่าเรือของโจทก์ แล้วฝากเก็บสินค้านั้นไว้ที่โรงพักสินค้าของโจทก์จำเลยย่อมมีความผูกพันตามสัญญาฝากทรัพย์ที่จะต้องชำระบำเหน็จค่าฝากให้โจทก์ แม้โจทก์จะเก็บรักษาทรัพย์ของจำเลยไม่ดีจนเป็นเหตุให้ทรัพย์นั้นเสื่อมเสียไปบ้าง ก็ไม่ทำให้สิทธิที่จะได้รับบำเหน็จค่าฝากของโจทก์ต้องสูญสิ้นไป ความเสียหายอันเกิดจากการเก็บรักษาทรัพย์ที่ฝากไว้ไม่ดีอย่างไรเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวเรียกร้องเอาแก่กันอีกส่วนหนึ่ง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยโจทก์เป็นองค์การประกอบกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน มีบทกฎหมายพิเศษที่ก่อตั้งและรับรองโจทก์ ให้โจทก์มีอำนาจกำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือซึ่งรวมทั้งค่าฝากทรัพย์ที่เก็บไว้ที่ท่าเรือนั้นด้วย ผู้ใดมาใช้บริการเอาทรัพย์ฝากเก็บไว้ที่ท่าเรือ สัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับผู้นั้นก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องตกลงกันในเรื่องบำเหน็จค่าฝากดังเช่นกรณีของบุคคลธรรมดา เพราะเท่ากับคู่สัญญาได้ตกลงกันในตัวให้ถือตามอัตราที่โจทก์กำหนดแม้ภายหลังจากโจทก์รับฝากทรัพย์ของจำเลยไว้แล้ว โจทก์จะกำหนดอัตราค่าฝากทรัพย์ขึ้นใหม่สูงขึ้นกว่าเดิม ก็ถือได้ว่าอัตราค่าฝากใหม่นั้นเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในข้อตกลงเดิมในสัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยทั้งจำเลยก็รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ขึ้นราคาค่าฝาก แต่ไม่ขนทรัพย์ออกไปคงฝากไว้กับโจทก์อยู่เรื่อยมา จึงถือได้ว่าจำเลยตกลงยอมเสียค่าบำเหน็จค่าฝากให้โจทก์ตามอัตราใหม่ แม้จำนวนบำเหน็จค่าฝากจะท่วมราคาทรัพย์ที่ฝากมากก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า หากจำเลยต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ก็ขอหักกลบลบหนี้กันค่าเสียหายที่โจทก์เก็บรักษาทรัพย์ของจำเลยไม่ดีโดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง ค่าเสียหายที่จำเลยกล่าวอ้างนี้ โจทก์นำสืบปฏิเสธว่าทรัพย์ของจำเลยไม่เสียหาย จึงเป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์หาได้ไม่
ทรัพย์ที่ฝากย่อมจะถูกยึดหน่วงเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับชำระค่าฝาก แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยนำสินค้าของจำเลยออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง และจำเลยได้จัดการปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธิยึดหน่วงสินค้านั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับชำระบำเหน็จค่าฝาก แต่ต้องถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับให้จำเลยนำสินค้าออกไปแล้ว แม้สินค้าจะยังอยู่ในโรงพักสินค้าของโจทก์ต่อมาก็เป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิยึดถือเอาไว้เองตามสิทธิยึดหน่วงของโจทก์มิใช่จำเลยฝ่าฝืนไม่นำออกไป การคิดบำเหน็จค่าฝากทรัพย์จากจำเลยตามคำพิพากษาจึงต้องยุติลงในวันที่จำเลยไปขอขนสินค้าออกแล้วโจทก์ไม่ยอมให้ขน

ย่อยาว

คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้เคยค้าในการสั่งสินค้าจากต่างประเทศนำเข้ามาโดยทางเรือแล้วขนถ่ายสินค้านั้นขึ้นที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ของโจทก์เป็นปกติธุระ และมีหน้าที่เสียค่าภาระการใช้ท่าเรือตามอัตราที่โจทก์กำหนดจำเลยสั่งสินค้ากระจกเข้ามาสองคราวแต่ละเลยมานานไม่ขนย้ายออกไปจากท่าเรือของโจทก์ และเพิกเฉยไม่ชำระค่าภาระการใช้ท่าเรือ ขอให้บังคับจำเลยนำสินค้ากระจกทั้งหมดออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าภาระการใช้ท่าเรือจำนวน901,451.10 บาทแก่โจทก์ และใช้ค่าฝากสินค้านับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะได้นำออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เก็บสินค้ากระจกของจำเลยไว้ไม่ดีจนเสียหายไม่มีสิทธิเรียกค่าบำเหน็จรับฝาก หากศาลวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ จำเลยก็ขอเอาเงินค่าเสียหายที่โจทก์เก็บกระจกไม่ดีมาหักหนี้กับโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยนำสินค้ากระจกแผ่นของจำเลยทั้งหมดออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าภาระการใช้ท่าเรือ 900,677.75 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยใช้เงินค่าฝากสินค้าแก่โจทก์นับแต่วันถัดจากวันฟ้องตลอดไปจนกว่าจะได้นำสินค้านั้นออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ตามอัตราค่าฝากสินค้าตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2510 ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2510 เป็นเงิน29,192.45 บาท และตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2510 และวันต่อ ๆ ไปวันละ 4,582.81 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

สำหรับคดีสำนวนหลัง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องว่าจำเลยไปติดต่อกับโจทก์เพื่อจะเอากระจกออกจากที่ของโจทก์ตามคำพิพากษา แต่เจ้าหน้าที่ของโจทก์ไม่ยอม ขอให้บังคับโจทก์ห้ามไม่ให้ขัดขวางในการที่จำเลยจะเอากระจกนั้นออกไป

ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์มาสอบถาม โจทก์แถลงว่าการที่ไม่ยอมให้จำเลยเอากระจกออกไปก้เพราะถือว่ากระจกเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่โจทก์จะบังคับคดีเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยจำเลยแถลงยืนยันขอขนเอากระจกออกไป

ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ใช้สิทธิยึดหน่วงทรัพย์จึงไม่อาจบังคับโจทก์ให้ปฏิบัติตามคำร้องของจำเลยได้ ให้ยกคำร้องของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ใช้สิทธิยึดหน่วงอีกไม่ได้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ห้ามโจทก์ขัดขวางในการที่จำเลยจะขนย้ายกระจกออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์

โจทก์ฎีกา

ฎีกาของจำเลยในสำนวนแรกมี 3 ข้อ

ฎีกาข้อ 1 โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จค่าฝาก เพราะโจทก์ผู้รับฝากโดยมีค่าบำเหน็จตอบแทน ได้เก็บรักษาของที่รับฝากไว้ไม่ดี ทำให้ของต้องเสียหาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยมีความผูกพันตามสัญญาฝากทรัพย์ที่มีอยู่กับโจทก์ ทั้งโจทก์ผู้รับฝากก็ได้บริการตามหน้าที่ให้แก่จำเลยเสร็จไปแล้ว จำเลยก็ย่อมมีหน้าที่ต้องชำระค่าบำเหน็จรับฝากนั้นให้โจทก์ แม้หากจะมีกรณีที่ฟังได้ว่าโจทก์ทำการเก็บรักษาทรัพย์ของจำเลยไม่ดีจนเป็นเหตุทำให้ทรัพย์นั้นเสื่อมเสียไปบ้าง พฤติการณ์ที่เป็นเช่นนั้นก็ไม่มีข้อบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดให้สิทธิที่จะได้รับค่าบำเหน็จของโจทก์สิ้นสูญไป ความเสียหายอันเกิดจากการรักษาของไว้ไม่ดีอย่างไร เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวเรียกร้องเอาแก่กันเป็นอีกส่วนหนึ่งได้ มิใช่ทำให้สิทธิที่จะได้รับค่าบำเหน็จของโจทก์อันได้เกิดขึ้นครบถ้วนตามสัญญาแล้วต้องเสียไป

ฎีกาข้อ 2 แม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกเอาค่าบำเหน็จฝากของได้โจทก์ก็จะคิดเอาค่าบำเหน็จตามอัตราใหม่ที่โจทก์ตั้งขึ้นเองหลังจากรับฝากของไว้แล้วไม่ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นองค์การประกอบกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน มีบทกฎหมายพิเศษที่ก่อตั้งและรับรองโจทก์ ให้โจทก์มีอำนาจกำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือซึ่งรวมถึงค่าฝากของที่เก็บไว้ที่ท่าเรือนั้นด้วย เมื่อโจทก์กำหนดขึ้นแล้วผู้ใดมาใช้บริการเอาของฝากเก็บไว้ที่ท่าเรือ สัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับผู้นั้นก็เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องตกลงกันอีกในเรื่องว่าจะคิดค่าฝากกันเท่าใด เพราะเท่ากับคู่สัญญาได้ตกลงกันอยู่ในตัวว่าให้ถือเอาตามอัตราที่โจทก์กำหนดไว้นั้นเอง กรณีฝากทรัพย์ไว้กับโจทก์ดังนั้นหาใช่เหมือนกับฝากทรัพย์กับบุคคลธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่จะต้องตกลงกันด้วยถึงจำนวนบำเหน็จค่าฝากทรัพย์นั้นไม่ เมื่อสัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นโดยนัยที่ยอมให้ค่าฝากได้เป็นไปตามที่โจทก์กำหนดเอาดังนี้ การที่โจทก์ได้กำหนดอัตราค่าฝากขึ้นใหม่ภายหลังจากวันที่ได้รับฝากของจำเลยไว้แล้วนั้นก็พอถือได้ว่าอัตราค่าฝากใหม่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในข้อตกลงเดิมในสัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยนั่นเอง จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าฝากตามอัตราใหม่นี้ให้แก่โจทก์ สำหรับการฝากนับแต่วันที่ตั้งอัตราใหม่นั้นเป็นต้นไป ซึ่งถ้าหากจำเลยไม่พอใจจะเสียค่าฝากตามอัตราใหม่ จำเลยก็ชอบที่จะทำได้โดยขนของออกไปเสียจากท่าเรือของโจทก์ เท่าที่ปรากฏจำเลยรู้อยู่ดีแล้วว่าโจทก์ได้ขึ้นราคาค่าฝากเพราะจำเลยเป็นผู้ค้าและมีผู้แทนมาติดต่ออยู่กับโจทก์เสมอมา แต่จำเลยไม่ขนของออกไป คงฝากของไว้กับโจทก์อยู่เรื่อยมา ดังนี้ กรณีจึงพอฟังได้อีกทางหนึ่งว่าจำเลยตกลงยอมเสียค่าฝากให้กับโจทก์ตามอัตราใหม่นี้ด้วย จำเลยจึงมีความผูกพันที่จะต้องเสียตามอัตราใหม่นี้

แม้ในคดีนี้จะปรากฏว่าสินค้ากระจกของจำเลยมีราคาจำนวนหนึ่งแต่ค่าฝากตามอัตราใหม่ที่คิดเอาแก่จำเลยนั้นมีจำนวนท่วมท้นราคาสิ่งของที่ฝากมากและเหตุที่มากนั้นก็เพราะโจทก์ตั้งเกณฑ์อัตราค่าฝากสำหรับระยะเวลาแรก ๆ ไว้อัตราหนึ่ง ถ้าหากปล่อยสินค้าฝากกับโจทก์ไว้นาน ๆ ค่าฝากสำหรับระยะหลัง ๆ ก็ยิ่งแพงขึ้นไปเป็นลำดับขั้นของระยะเวลา ซึ่งทั้งนี้อาจเป็นเพราะโจทก์เป็นองค์การประกอบกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์ของรัฐ ไม่ประสงค์ให้พ่อค้าผู้ฝากของฝากของไว้นานเกินสมควร เป็นการขัดขวางต่อการที่โจทก์จะบริการให้พ่อค้ารายอื่น ๆ ทำให้เสียหายในทางเศรษฐกิจของรัฐ จึงได้กำหนดค่าฝากสำหรับระยะต่าง ๆ ไว้ให้ผิดกันเช่นนั้น สำหรับจำเลยนี้ปรากฏว่าได้ฝากสินค้ากระจกทิ้งไว้นานนับเป็นจำนวนปี จึงได้มีจำนวนเงินค่าฝากมากมายดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้น การที่จำเลยต้องเสียค่าฝากเป็นจำนวนมากมายท่วมราคาของฝากมากดังนี้ไม่เป็นเหตุผลตามกฎหมายที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ได้

ฎีกาข้อ 3 จำเลยมีสิทธิเอาหนี้เงินที่จำเลยจะได้รับจากโจทก์เนื่องจากโจทก์เก็บรักษากระจกของจำเลยไม่ดี ทำให้กระจกของจำเลยเสียหายมาหักหนี้กับเงินที่จำเลยจะต้องใช้เป็นค่าภาระการใช้ท่าเรือแก่โจทก์ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ค่าเสียหายตามที่จำเลยอ้างถึงนั้นจำเลยเพียงแต่ยื่นคำให้การต่อสู้ข้อหาของโจทก์เข้ามากล่าวอ้างขึ้นว่า จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์อยู่ 700,000 บาท เพราะโจทก์เก็บรักษากระจกของจำเลยไว้ไม่ดี ทำให้กระจกเสียหายไป จำเลยจึงขอเอาหักหนี้หากว่าจำเลยจะต้องใช้เงินแก่โจทก์ในจำนวนใดจำนวนหนึ่งตามที่ฟ้อง จำเลยหาได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเอากับโจทก์ แล้วพิสูจน์ค่าเสียหายให้เป็นหนี้ที่แน่นอนหมดข้อต่อสู้กันไปไม่ ค่าเสียหายตามที่จำเลยกล่าวอ้างมานี้ฝ่ายโจทก์นำสืบปฏิเสธอยู่ว่ากระจกของจำเลยไม่เสียหาย จึงเป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับหนี้เงินตามฟ้องโจทก์ ซึ่งหากศาลจะพิพากษาให้จำเลยใช้นั้นไม่ได้ ฎีกาข้อโต้แย้งของจำเลยจึงเป็นอันตกไปหมดทุกข้อ

ส่วนฎีกาของโจทก์ในสำนวนหลังที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งห้ามโจทก์มิให้ขัดขวางในการที่จำเลยจะขนสินค้ากระจกออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์เป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์ก็มีสิทธิยึดหน่วงเนื่องจากทรัพย์ที่รับฝากมีหนี้ค่าฝาก

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิยึดหน่วงเอาไว้ได้ดังที่โจทก์ว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำของรายนี้ออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ ไม่พอหมายความว่าโจทก์สละสิทธิยึดหน่วงที่โจทก์ได้มีอยู่กับของนั้นอีกโสดหนึ่งต่างหาก แต่เมื่อศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยนำของนั้นออกไป หาไม่จำเลยจะต้องเสียค่าฝากของนั้นเรื่อยไปจนกว่าจะได้นำออกไปนั้น ครั้นจำเลยจัดการปฏิบัติตามคำพิพากษาเข้าจริงโจทก์กลับอ้างใช้สิทธิยึดหน่วงไม่ยอมให้ขนเอาของออกไป ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับให้จำเลยนำเอาของออกไปจากที่เก็บสินค้าของโจทก์นั้นแล้ว แม้ของจะยังคงอยู่ในสถานที่ของโจทก์ต่อมา ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิยึดถือเอาไว้เองตามสิทธิยึดหน่วงของโจทก์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่จำเลยยังฝ่าฝืนไม่นำของออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ การคิดเอาค่าฝากทรัพย์ที่จำเลยยังไม่ได้นำกระจกออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ตามคำพิพากษาในคดีสำนวนแรกดังที่กล่าวมาแล้ว จึงต้องยุติลงเพียงในวันที่จำเลยไปขอขนของออกแล้วโจทก์ไม่ยอมให้ขน

ในคดีสำนวนแรก ศาลฎีกาพิพากษายืน ในคดีสำนวนหลัง ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า โจทก์ยึดหน่วงสินค้ากระจกที่จำเลยไปขอนำออกจากโรงพักสินค้าของโจทก์ตามคำพิพากษาที่บังคับจำเลยนั้นได้ ส่วนค่าฝากทรัพย์วันละ 4,582.81 บาทที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นรายวันตามคำพิพากษานั้นให้ถือว่ายุติลงเพียงในวันที่จำเลยไปขอขนของออกแล้ว โจทก์ไม่ยอมให้ขน

Share