แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ด่าจำเลยที่ 1 กับพวกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ พอจำเลยที่ 1 ว่า ไม่ควรพูดเช่นนั้น จำเลยที่ 2 ก็ชกจำเลยที่ 1 ก่อน ถูกที่หน้าอกแล้วจำเลยที่ 2 กับพวกเข้าช่วยกันทำร้ายจำเลยที่ 1 อีก จำเลยที่ 1 ถอยหลังหนีไปติดรั้วสวน ถอนเสาไม้รั้วขึ้นกวัดแกว่งร้องห้ามไม่ให้จำเลยที่ 2 กับพวกเข้าทำร้าย จำเลยที่ 2 กลับคว้าไม้กระโดดเข้าไปจะทำร้าย จึงถูกไม้ของจำเลยที่ 1 ที่ศีรษะเป็นแผลแตกลึกถึงกระโหลกศีรษะ รักษาประมาณ 12 วันหาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๒ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ฝ่ายหนึ่งใช้ไม้เสารั้วเป็นอาวุธ ตีทำร้ายจำเลยที่ ๒ จนเกิดอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บ และจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ อีกฝ่ายหนึ่งร่วมกันใช้กำลังชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ ๑ ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่ตำบลเมืองหงษ์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๓๙๑, ๘๓ และสั่งริบไม้เสารั้วของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ แต่ฝ่ายเดียวใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๖ เดือน ไม้ของกลางริบยกฟ้องสำหรับตัวจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุหากเกินกว่าเหตุขอให้ลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิด พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ด้วยไม้ของกลางไม่ริบ
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า มูลเหตุที่จะเกิดทำร้ายกันขึ้นจนจำเลยที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บนั้น นายทองดี พลนวล และนายอบ อุปจันทร์ พยานโจทก์ ซึ่งนั่งร่วมวงกับจำเลยที่ ๑ ในขณะเกิดเหตุเบิกความว่าเนื่องจากจำเลยที่ ๒ เป็นฝ่ายก่อนเหตุขึ้นก่อน โดยด่าพวกจำเลยที่ ๑ ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ พอจำเลยที่ ๑ พูดว่าไม่ควรจะพูดเช่นนั้น จำเลยที่ ๒ ก็เข้าชกจำเลยที่ ๑ ทันทีถูกที่หน้าอก แล้วจำเลยที่ ๒ กับพวกยังเข้าช่วยกันทำร้ายจำเลยที่ ๑ อีก จำเลยที่ ๑ ได้ถอยหลังหนีไปติดรั้วสวนแล้วถอนเสาไม้รั้วกวัดแกว่งและร้องห้ามไม่ให้ จำเลยที่ ๒ กับพวกเข้ามาแต่จำเลยที่ ๒ หาฟังไม่ กลับคว้าได้ไม้แล้วกระโดดเข้าไปจะทำร้ายจึงถูกไม้ของจำเลยที่ ๑ มีบาดเจ็บจากนั้นจำเลยที่ ๑ ก็ทิ้งไม้ มุดรั้วหนีไปซึ่งการนำสืบของโจทก์ก็ตรงกับการนำสืบของจำเลยที่ ๑ ด้วย เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายของจำเลยที่ ๒ อันละเมิดต่อกฎหมาย และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงการกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ จำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาของโจทก์