แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวของโจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องแย้งอ้างว่าจำเลยกับ อ. ได้ตกลงกันไว้ว่าจำเลยยอมย้ายออกจากตึกพิพาท โดย อ. ต้องสร้างตึกขึ้นใหม่ ให้จำเลยเช่า 15 ปี และจำเลยยอมจ่ายค่าก่อสร้างให้ อ. เป็นงวด ๆ ผิดนัดงวดใดให้ อ. ริบเงินที่ชำระแล้วได้ ถ้า อ. ไม่ก่อสร้างตามข้อตกลง อ. ยอมคืนเงินให้ ถ้าไม่คืน โจทก์ต้องรับผิดใช้คืนให้และให้จำเลยสร้างต่อจนเสร็จ ครั้นถึงกำหนดทำสัญญา อ. แจ้งว่าโจทก์ไม่ยอมรับรองตามที่ตกลงกันไว้ หากโจทก์มอบอำนาจแก่ อ. จริง อ. ย่อมเป็นตัวแทนโจทก์ ข้อตกลงนี้ย่อมผูกพันโจทก์ฟ้องแย้งเช่นนี้เท่ากับว่าถ้า อ. เป็นตัวแทนของโจทก์จริง ๆ แล้วจึงจะขอให้บังคับโจทก์ และแสดงอยู่ในตัวว่า อ. จะต้องไปเจรจากับโจทก์ให้ยอมรับรองข้อตกลงดังกล่าวอีกทีก่อน จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและตัดสินชี้ขาดเข้าด้วยกันได้ ศาลย่อมไม่รับฟ้องแย้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ ๓๖๘ จากสำนักพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของเจ้าจอมมารดาอ่อนมีกำหนด ๑ ปี ครบกำหนดแล้วจำเลยยังอยู่ ต่อมา ครั้นเมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวดังกล่าวโดยรับมรดกเจ้าจอมมารดาอ่อนแล้วจำเลยตกลงเช่าในอัตราค่าเช่าเท่าเดิม แต่มิได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน ต่อมาจำเลยค้างชำระค่าเช่าและโจทก์ต้องการใช้ที่ดิน โจทก์ให้ทนายบอกเลิกสัญญาเช่า ให้จำเลยขนย้ายออกไปและชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยส่งเงินที่ค้างมาชำระให้แต่ไม่ขนย้ายไป การครอบครองตึกต่อมาเป็นการละเมิด ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทและชำระค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของตึกพิพาทหรือไม่และจะมอบอำนาจให้นายอำนวย แซ่แต้ มาฟ้องแทนหรือไม่ จำเลยไม่รับรองโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่ได้บอกเลิกการเช่า นายอำนวย แซ่แต้ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้มาติดต่อกับจำเลย อ้างว่าเจ้าของตึกมอบอำนาจให้นายอำนวยรื้อตึกเก่าแล้วปลูกใหม่ นายอำนวยกับจำเลยจึงตกลงกันว่า(ก) นายอำนวยต้องสร้างตึกสี่ชั้นครึ่งในที่ดินแปลงที่จำเลยเช่าโดยเริ่มสร้างภายใน ๑ เดือน นับแต่จำเลยย้ายออก แต่ต้องสร้างให้เสร็จใน ๘ เดือน(ข) จำเลยยอมย้ายออกไปภายใน ๖ เดือน และยอมจ่ายค่าก่อสร้างให้นายอำนวย ๒๓๒,๐๐๐ บาท โดยจ่ายเป็นงวด ๆ (ค) นายอำนวยต้องนำหนังสือรับรองจากเจ้าของที่ดินมาแสดงว่า ถ้านายอำนวยผิดสัญญาไม่ก่อสร้างตามกำหนด เจ้าของที่ดินยอมให้จำเลยสร้างต่อจนเสร็จและยอมจดทะเบียนการเช่า ๑๕ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒๕๐ บาท กับยอมให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าได้ (ง) ถ้าจำเลยไม่ยอมจ่ายเงินงวดใด นายอำนวยเตือนแล้ว ให้ถือว่าสัญญาระงับ เงินที่จ่ายแล้วนายอำนวยริบหมด หรือถ้าจำเลยไม่ยอมย้ายออกตามกำหนดเจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่ได้และจำเลยยอมให้ปรับ ถ้านายอำนวยไม่ก่อสร้างตามสัญญา นายอำนวยยอมคืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและยอมมอบสิ่งก่อสร้างที่ทำไว้ให้จำเลยสร้างต่อส่วนเงินที่นายอำนวยรับไปแล้วไม่คืน เจ้าของที่ดินยอมรับผิดใช้คืนได้ครั้นถึงวันนัดทำหนังสือสัญญา นายอำนวยแจ้งว่าเจ้าของที่ดินไม่ยอมรับรองตามที่ตกลงกันไว้ หากว่าโจทก์มอบอำนาจแก่นายอำนวยตามสำเนาท้ายฟ้องจริงนายอำนวยย่อมเป็นตัวแทนโจทก์ ข้อตกลงนี้ผูกพันโจทก์ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทำหนังสือสัญญากับจำเลยตามข้อตกลงดังกล่าว
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับคงรับแต่คำให้การ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกที่จำเลยเช่า จำเลยต่อสู้ว่า ตัวแทนของโจทก์ตกลงให้จำเลยช่วยค่าก่อสร้างแล้วให้จำเลยเช่าต่อไป ฟ้องแย้งกับฟ้องเดิมจึงมิใช่เป็นเรื่องอื่นนั้นเห็นว่าประการแรก จำเลยกล่าวในฟ้องแย้งว่า “หากว่าโจทก์มอบอำนาจนายอำนวยตามสำเนาท้ายคำฟ้องจริง นายอำนวยย่อมเป็นตัวแทนโจทก์” แสดงว่าจำเลยมิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า นายอำนวยเป็นตัวแทนโจทก์เท่ากับเป็นเงื่อนไขในฟ้องแย้งว่า ถ้านายอำนวยเป็นตัวแทนโจทก์จริง ๆ แล้ว ขอให้บังคับโจทก์ตามฟ้องแย้งอีกประการหนึ่งในฟ้องแย้งกล่าวว่านายอำนวยแจ้งว่าเจ้าของที่ดินไม่ยอมรับรองตามที่ตกลงไว้ แสดงว่านายอำนวยจะต้องไปเจรจากับโจทก์อีกทีหนึ่ง ฉะนั้น หากจะรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาก็จะต้องพิจารณาว่า การที่นายอำนวยไปเจรจากับจำเลยแล้วโจทก์ไม่ยินยอมตามข้อเสนอของจำเลยจะผูกพันโจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิม และไม่เกี่ยวพันกันพอที่จะรวมการพิจารณาและตัดสินชี้ขาดเข้าด้วยกันได้
พิพากษายืน