คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จังหวัดฟ้องข้าราชการสังกัดจังหวัดนั้น ขอให้คืนหรือใช้เงินที่เบิกไปโดยไม่มีสิทธิเบิกกับเงินที่เบิกเกินสมควร เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินที่จำเลยผู้กระทำการอันมิชอบ ยึดถือครอบครองไว้โดยไม่มีสิทธิซึ่งเจ้าของมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาใช้บังคับไม่ได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีพันตำรวจเอกนิรันดรชัยนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคแห่งจังหวัดเชียงใหม่มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในจังหวัดเชียงใหม่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ เดิม จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๔ กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดเชียงใหม่ ครั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๔ จำเลยยื่นคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านต่อโจทก์ โดยขอเช่าบ้านของนางสาวอดิสัย เลาหะชัย ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่ขอเบิกรับเงินค่าเช่าบ้านตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการและจำเลยถืออำนาจอ้างการรักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สั่งอนุญาตให้จำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวและสั่งให้เบิกเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์จ่ายให้จำเลยไป แล้วจำเลยได้เช่าและอาศัยสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านในนามบ้านนางสาวอดิสัย เลาหะชัย ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๔ ถึงวันที่ ๓๑ธันวาคม ๒๕๐๔ รวม ๗ เดือน ในอัตราเดือนละ ๙๐๐ บาท แต่ตั้งแต่วันที่ ๑มกราคม ๒๕๐๕ ถึงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ รวม ๓๗ เดือน ๑๙ วัน ในอัตราเดือนละ ๙๗๕ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๔๓,๐๓๖ บาท ความจริงบ้านเลขที่ ๔๔ที่จำเลยเช่าจากนางสาวอดิสัย เลาหะชัย เป็นของจำเลย ซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยระเบียบค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๘๓ จำเลยไม่มีสิทธิเบิกและรับเงินค่าเช่าบ้านได้ โจทก์เพิ่งทราบความจริงและการกระทำอันมิชอบของจำเลยเมื่อกลางเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๔๓,๐๓๖ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๐ จนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน ๓,๒๒๗.๗๐ บาท และตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปลายเดือนกันยายน ๒๕๐๗กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำเลยได้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ไปเป็นค่าจ้างเหมารถยนต์บรรทุกสำหรับบรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวของจำเลยรวม ๓ คันคันละ ๕,๐๐๐ บาท จากบ้านพักในเมืองเชียงใหม่ถึงบ้านพักในเมืองแม่ฮ่องสอนจำเลยมีสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวมีปริมาตรไม่เกิน ๑๐ ลูกบาศก์เมตร น้ำหนักไม่เกิน ๒,๐๐๐ กิโลกรัม ซึ่งจำเลยมีสิทธิเบิกได้เพียงค่ารถยนต์บรรทุกจ้างเหมาบรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว ๒ คัน ๆ ละ ๒,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕,๐๐๐บาท แต่จำเลยกลับเบิกถึง ๓ คัน ๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทจึงเกินไป ๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยต้องคืนเงินส่วนที่เกินให้โจทก์ โจทก์เพิ่งทราบความจริงและการกระทำอันมิชอบของจำเลยเมื่อกลางเดือนมีนาคม๒๕๑๐ โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงิน แต่จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๐ จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๙๕.๘๓ บาทและนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เพราะเป็นเรื่องละเมิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ทราบเรื่องแล้วเกิน ๑ ปีถึงวันฟ้อง และบ้านซึ่งจำเลยเช่าเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวอดิสัย เลาหะชัย สำหรับค่าจ้างรถยนต์บรรทุกคันละ ๕,๐๐๐ บาทนั้น เป็นราคาที่ไม่แพงเกินสมควรไม่เกินอัตราตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าพาหนะเดินทางเป็นเงินจัดสรรให้จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นนิติบุคคล โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แต่ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทยรู้ถึงการละเมิดของจำเลยตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๐๙ ซึ่งนับถึงวันฟ้องเกิน ๑ ปี เงินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนอยู่ในอำนาจหน้าที่โจทก์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย เงินดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยด้วย เมื่อกระทรวงมหาดไทยทราบการละเมิดเกิน ๑ ปีแล้วหนี้รายนี้จึงขาดอายุความแล้ว โจทก์จะมาฟ้องหาได้ไม่ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าบ้านและค่าพาหนะขนย้ายครอบครัว ไม่ใช่ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดเรียกค่าเสียหาย จึงนำอายุความ ๑ ปี เกี่ยวกับละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ มาใช้บังคับไม่ได้ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าอายุความ ๑ ปีเกี่ยวกับการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดแต่คดีทั้งสองนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปโดยที่จำเลยไม่มีสิทธิเบิกได้ และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินค่าพาหนะขนย้ายครอบครัวและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเลยเบิกเกินความจำเป็นหรือเกินสมควร จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินที่จำเลยผู้กระทำการอันมิชอบยึดถือครอบครองของเขาไว้โดยไม่มีสิทธิซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ฉะนั้น จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share