คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวอ้างแต่เหตุที่จำเลยขาดนัดและเหตุแห่งการที่ยื่นคำขอล่าช้า ไม่ได้กล่าวอ้างหรือแสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยแพ้คดี ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรและไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไรเป็นคำร้องที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องและไต่สวนพยานจำเลยไปบ้างแล้วก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งไม่รับคำร้องเพื่อให้ถูกต้องได้เพราะมีอำนาจสั่งได้เมื่อเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางม่อยหรือม่วยไชยสุริยา ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินยืมและบังคับจำนอง จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,770,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2534 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 ต้องไม่เกิน 1,999,670.83 บาท ตามที่โจทก์ขอ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้หากไม่พอ ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นอีก และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์บังคับคดี

จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าจำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ตามฟ้อง การส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับแก่จำเลยที่บ้านเลขที่ตามฟ้อง จึงไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหากจำเลยได้ทราบถึงการฟ้องคดีแต่ต้นจำเลยย่อมต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดี เนื่องจากเป็นคดีมีทุนทรัพย์สูง และจำเลยมีหลักฐานเอกสารที่จะเสนอต่อศาลเพื่อหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์อันอาจเป็นเหตุให้ศาลพิพากษาคดีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเหตุที่จำเลยยื่นคำร้องล่าช้า เพราะจำเลยเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2539 ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกระทำการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลย ในวันที่ 26 ธันวาคม 2539 จึงขอให้พิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ต่อมาระหว่างการไต่สวนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า ตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยระบุแต่เพียงว่าหากจำเลยทราบถึงการฟ้องคดีแต่ต้น จำเลยย่อมต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีและเข้ามาในกระบวนพิจารณาของศาลเนื่องจากเป็นคดีมีทุนทรัพย์สูง และจำเลยมีหลักฐานเอกสารที่จะเสนอต่อศาลเพื่อหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์ตามฟ้องได้อันอาจเป็นเหตุให้ศาลพิพากษาคดีเปลี่ยนแปลงไปจากคำพิพากษาเดิมในที่สุดซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นไม่ใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแต่อย่างใดคำร้องดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208จึงให้งดการไต่สวนและอาศัยอำนาจตามมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพิกถอนคำสั่งเดิมที่ให้รับคำร้องดังกล่าวเป็นไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กรณีเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย หรือไม่ และการที่ศาลชั้นต้นอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเป็นไม่รับคำร้องดังกล่าวนั้นชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 27 หรือไม่ เสียก่อน ซึ่งจะได้วินิจฉัยไปพร้อมกัน เห็นว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่นั้น คู่ความจะต้องกล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดประการหนึ่ง และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลอีกประการหนึ่งโดยละเอียดชัดแจ้งทั้ง 2 ประการ และในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่จำเลยได้กล่าวอ้างแต่เหตุที่จำเลยขาดนัดและเหตุแห่งการที่ยื่นคำขอล่าช้าเท่านั้นจำเลยไม่ได้กล่าวอ้างหรือแสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยแพ้คดี ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใด อย่างไร และไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไรจำเลยคงกล่าวแต่เพียงว่าหากจำเลยได้ทราบถึงการฟ้องคดีแต่ต้น จำเลยย่อมต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีเนื่องจากเป็นคดีมีทุนทรัพย์สูงและจำเลยมีหลักฐานเอกสารที่จะเสนอต่อศาลเพื่อหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์อันอาจเป็นเหตุให้ศาลพิพากษาคดีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่านั้น โดยไม่ได้กล่าวว่าพยานหลักฐานใดของโจทก์ที่รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องรับผิดตามฟ้อง และมิได้กล่าวถึงพยานหลักฐานของจำเลยว่ามีอย่างใดบ้างที่จะทำให้จำเลยชนะคดีได้ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวเป็นคำร้องที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้ายที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยและได้ทำการไต่สวนพยานจำเลยไปบ้างแล้วตามที่จำเลยอ้างในฎีกา แต่เมื่อต่อมาได้ปรากฏต่อศาลชั้นต้นเองว่า การสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยนั้น มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย ตามที่กล่าวมา ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเพื่อให้ถูกต้องได้เพราะเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดี ดังที่บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ให้อำนาจไว้ และการสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งได้เมื่อเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ซึ่งกรณีในคดีนี้ถึงแม้ตามคำคัดค้านของโจทก์จะมิได้คัดค้านว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยบรรยายไม่ครบถ้วนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 ตามที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็หาเป็นการลบล้างอำนาจของศาลในเรื่องนี้ไม่การที่ศาลชั้นต้นอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27สั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่ให้รับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยและสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวของจำเลยนั้นจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนนี้ชอบแล้ว เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เพราะการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งแก่จำเลยที่บ้านเลขที่ตามฟ้อง อันมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share