คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4439/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ดินโจทก์ กับทำที่ดินให้กลับอยู่ในสภาพเดิม จำเลยให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงมิได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์ และโจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อที่พิพาทมีเนื้อที่เพียงประมาณ 4 ตารางวา ไม่อาจมีราคาเกินกว่า 200,000 บาทจึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1831ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี จำเลยต่อเติมบ้านเลขที่ 169 ของจำเลยทางด้านหลังรุกล้ำที่ดินโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อที่ประมาณ 6 ตารางวา โดยไม่สุจริตโจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ 200 บาท นับตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2529ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,200 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์กับทำที่ดินให้กลับอยู่ในสภาพเดิมและเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 2,200 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่พิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 4 ตารางวา จำเลยซื้อมาจากผู้มีชื่อตั้งแต่ปี 2505 แล้วได้ครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 25 ปี จำเลยจึงได้ที่พิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ทราบถึงการได้มาในที่พิพาทของจำเลยแต่ก็ยังรับซื้อไว้โดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 169 หมู่ที่ 5 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนที่อยู่ในที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์พร้อมกับทำที่ดินให้กลับดีคงเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงมิได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์และโจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนราคาที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทนั้นเนื่องจากศาลชั้นต้นและคู่ความต่างมิได้ตีราคาและกำหนดไว้ แต่ได้ความจากตัวโจทก์ว่าโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1831 ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 3 งาน8 ตารางวา มาก่อนหน้าฟ้องคดีนี้ไม่ถึงปีด้วยราคาเพียง 61,200 บาทเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1831 และมีเนื้อที่เพียงประมาณ 4 ตารางวาไม่อาจจะมีราคาเกินกว่า 200,000 บาท ไปได้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาทฎีกาของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

Share