แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยฟ้องขอให้ถอนชื่อโจทก์จากโฉนดโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลย โจทก์ต่อสู้ว่าบุคคลภายนอกยกที่ดินให้แก่โจทก์ ศาลคดีเดิมพิพากษา คดีถึงที่สุดว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย คำพิพากษาของศาลคดีเดิมย่อมผูกพันโจทก์จำเลย ดังนั้น การที่โจทก์กลับมาฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยแบ่งขายที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่งจึงเท่ากับเป็นการเถียงรื้อฟื้นคดีเดิมว่า ที่พิพาทไม่ใช่เป็นของจำเลยทั้งหมด แต่เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง กรณีจึงเป็นการฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2491 โจทก์ขออาศัยจำเลยอยู่ที่ตึกแถวเลขที่ 156, 158 ซึ่งปลูกบนที่ดินโฉนดที่ 3301, 3381 และโฉนดทั้งสองเป็นชื่อของบุคคลภายนอก โดยโจทก์จำเลยตกลงกันว่า โจทก์ต้องฟ้องขับไล่ผู้เช่าเอาเอง และจำเลยจะขายที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งพร้อมด้วยห้องแถวหนึ่งห้อง โจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลง และชำระเงินให้ครบถ้วนแล้ว ครั้นประมาณ พ.ศ. 2500 จำเลยให้โจทก์โอนที่ดินสองโฉนดนั้นซึ่งได้โอนเป็นของโจทก์เมื่อตอนฟ้องขับไล่ผู้เช่า ให้กลับคืนไปเป็นของจำเลย แล้วจำเลยจะโอนให้โจทก์ใหม่ 1 โฉนดแต่โจทก์ตกลงจะโอนให้จำเลยเพียงโฉนดเดียว ส่วนอีกโฉนดหนึ่งนั้น เห็นว่าไม่จำเป็นต้องโอนกลับไปกลับมาเพราะมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของอยู่แล้ว ทั้งโจทก์เกรงว่าเมื่อโอนเป็นของจำเลยแล้ว จำเลยจะไม่โอนคืนให้โจทก์ จำเลยจึงฟ้องโจทก์เป็นคดี ซึ่งต่อมาศาลพิพากษา คดีถึงที่สุดให้โจทก์โอนที่ดินและตึกแถวให้จำเลย โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยยอมให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหนึ่งแปลงพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง โดยรวมโฉนดที่ 3301 และ 3381เข้าด้วยกันแล้วแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า ไม่ได้ตกลงขายที่ดินและตึกแถวให้โจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์จำเลยตกลงให้โจทก์เข้าอยู่ในตึกแถว 2 ห้องนั้น แต่โจทก์เข้าอยู่ไม่ได้เพราะมีคนเช่าอยู่ จำเลยจึงเอาชื่อโจทก์ลงในโฉนดเป็นเจ้าของเพื่อฟ้องขับไล่ ครั้นเมื่อฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกไปแล้ว โจทก์เพิกเฉยไม่โอนคืนให้จำเลย จึงจำต้องฟ้องโจทก์ซึ่งในคดีนั้น โจทก์ต่อสู้ว่าบุคคลภายนอกยกที่ดินและตึกแถวให้โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ แต่ศาลในคดีนั้นพิพากษาว่าเป็นของจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะฟ้องคดีนี้อีกไม่ได้เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดสืบพยานทั้ง 2 ฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งศาลฎีกาคดีเดิมพิพากษาว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลยคดีนี้ คำพิพากษาของศาลฎีกาคดีเดิมจึงผูกพันคู่ความตาม มาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้น การที่โจทก์กลับมากล่าวอ้างในคดีนี้ว่าจำเลยแบ่งขายที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่งก็เท่ากับเป็นการเถียงรื้อฟื้นคดีเดิมว่าไม่ใช่เป็นของจำเลยทั้งหมด แต่เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง กรณีจึงเป็นการฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายืน