แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลจะนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นนั้นเป็นดุลพินิจของศาลจะพิจารณาเห็นสมควร การที่จำเลยต้องคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในคดีอื่นซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษจนเหลือโทษจำคุกอีก 10 ปี และระหว่างกำลังรับโทษที่เหลืออยู่นี้ได้กระทำผิดฐานฆ่านักโทษซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุก 20 ปี เช่นนี้ เมื่อพิจารณาว่าจำเลยต้องรับโทษต่อไปอีกถึง 20 ปีข้างหน้าแล้ว เห็นว่าเหมาะสมแก่ความผิดที่กระทำในคดีนี้แล้ว เหตุผลที่จำเลยมากระทำผิดในข้อหาฐานความผิดเดียวกันซ้ำอีก รวมทั้งการได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีที่ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อซึ่งคงเหลือจำคุกอีกเป็น 10 ปีนั้น ยังไม่ถือเป็นเหตุพิเศษที่จะควรนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากคดีดังกล่าวนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนักโทษนายสมพร ทิมสูงเนินถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า จำเลยเคยต้องโทษฐานฆ่าคนตายตามคำพิพากษาศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ซึ่งพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต และจำเลยกำลังรับโทษอยู่โดยกระทำผิดในคดีนี้ขึ้นอีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๓ กับนับโทษต่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๙ ถึง ๑๔๑/๒๕๐๓ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓(ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และในข้อต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตและกำลังรับโทษในคดีดังกล่าวอยู่ขณะกระทำผิดในคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ จำคุก ๒๐ ปี คำรับสารภาพไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาจึงไม่ลดโทษให้ ส่วนที่ขอเพิ่มโทษ ศาลลงโทษจำคุกจำเลย ๒๐ ปีแล้วจึงเพิ่มไม่ได้ ที่ขอให้นับโทษต่อนั้น ปรากฏว่าโทษในคดีก่อนจำเลยได้รับโทษตลอดชีวิตอยู่แล้ว จึงไม่มีโทษที่จะให้นับต่อจากโทษนั้นอีกให้ยกคำขอมีดของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๙ ถึง ๑๔๑/๒๕๐๓ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ)และยื่นคำแถลงประกอบอุทธรณ์ว่า หลังจากโจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้ว โจทก์ได้หลักฐานจากเรือนจำว่า จำเลยได้รับการอภัยโทษ ๒ ครั้ง ครั้งแรกลดโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเหลือจำคุก ๒๐ ปี ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๗ จำเลยได้รับการอภัยโทษอีกครั้ง จำเลยคงเหลือโทษจำคุกอีก ๑๐ ปีซึ่งศาลย่อมนับโทษต่อได้
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าแม้จำเลยจะได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยก็มากระทำผิดในข้อหาเดียวซ้ำกัน และปรากฏว่าระหว่างจำเลยต้องโทษอยู่นั้น จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษ ๒ ครั้ง โทษของจำเลยคงเหลือ ๑๐ ปี มีเหตุพิเศษควรนับโทษจำเลยต่อจากคดีก่อนได้ ไม่ขัดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พิพากษาแก้ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๙ ถึง ๑๔๑/๒๕๐๓ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓(ศาลจังหวัดชัยภูมิ) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษต่อ
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าขณะศาลพิพากษาคดีนี้จำเลยคงเหลือโทษจำคุกอยู่เพียง ๑๐ ปี เพราะเหตุได้รับการอภัยโทษมา๒ ครั้ง แล้วก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาดูว่าโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้มีกำหนด๒๐ ปี ซึ่งจำเลยจะต้องรับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อไปรวมกับโทษจำคุกในคดีก่อนไม่น้อยกว่า ๒๐ ปีแล้ว ก็นับว่าเหมาะสมกับความผิดที่จำเลยกระทำในคดีนี้แล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรไม่นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๙ ถึง ๑๔๑/๒๕๐๓ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ)
ที่ศาลอุทธรณ์อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๑/๒๕๐๕ ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดแม่สอด โจทก์ นายซีอู จำเลย ว่าโดยปกติเมื่อไม่มีเหตุพิเศษ ศาลก็ไม่นับโทษต่อให้ สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าแม้จำเลยจะได้รับโทษตามคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยก็มากระทำผิดในข้อหาเดียวซ้ำกันและปรากฏว่าระหว่างจำเลยต้องรับโทษจำคุกอยู่ จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษในโอกาสต่าง ๆ ถึง ๒ ครั้ง โทษจำคุกของจำเลยคงเหลือเพียง ๑๐ ปีเท่านั้น จึงเห็นว่าเป็นเหตุพิเศษควรนับโทษจำเลยต่อนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลจะนับโทษจำคุกจำเลยต่อหรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของศาล สำหรับคดีนี้เห็นว่าเหตุที่ศาลอุทธรณ์อ้างยังไม่ใช่เหตุพิเศษที่ควรจะนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อ พิพากษาแก้ไม่นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๙ ถึง ๑๔๑/๒๕๐๓ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์