คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส ได้ตกลงกันให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเช่าซื้ออาคารสงเคราะห์เป็นผู้เช่าซื้อโดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินค่าเช่าซื้อ และภายหลังเมื่อจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในอาคารนั้นแล้วให้โอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์หรือบุตรเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงให้สำเร็จลุล่วงไป แต่กลับเอาสิทธิการเช่าซื้อไปโอนให้จำเลยที่ 2 เสีย เป็นเหตุให้โจทก์หรือ บุตรไม่อาจรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นได้ เช่นนี้จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้น ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาอย่างใดกับโจทก์ เพราะระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์หาได้มีสัญญาต่อกันอย่างใดไม่และแม้โจทก์จะก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมสิ้นเงินไป 25,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้ออาคารนี้มาก็ไม่เป็นลาภมิควรได้อันต้องคืนแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นภรรยาอยู่กินกับจำเลยที่ ๑ โดยมิได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างยังอยู่กินด้วยกัน โจทก์มีความประสงค์เช่าซื้ออาคารสงเคราะห์และที่ดินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่เนื่องจากจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิเช่าซื้อได้ จึงตกลงให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่าซื้ออาคารสงเคราะห์จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ในราคา ๒๙๖,๔๐๐ บาท ผ่อนส่งเป็นรายเดือน ๆ ละ ๑,๒๓๕ บาทโดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินและส่งเงินค่าเช่าซื้อเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๙๙โจทก์ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อได้รวม ๖๐ งวด เป็นเงิน ๘๒,๘๒๓.๗๐ บาท และระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมอาคารสิ้นเงินไป ๒๕,๐๐๐ บาทในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จำเลยทั้งสองได้สมคบกันโอนสิทธิเช่าซื้อบ้านและที่ดินนี้ให้เป็นของจำเลยที่ ๒ ซึ่งภายหลังรับโอนแล้วได้ขับไล่โจทก์ให้ออกจากอาคารและที่ดิน ไม่ยอมโอนสิทธิเช่าซื้อคืนแก่โจทก์ตามที่ขอร้อง ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ดินและค่าก่อสร้างเพิ่มเติมจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่าซื้อที่ดินและอาคารจากธนาคารอาคารสงเคราะห์โดยมอบให้โจทก์เป็นผู้ไปจัดการแทนตลอดจนชำระเงินซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้น ส่วนค่าก่อสร้างเพิ่มเติมได้ใช้เงินรายได้จากที่ให้ผู้อื่นเช่าอาคารนี้หาใช่ของโจทก์ดังฟ้องไม่จำเลยที่ ๑ ได้ให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อตลอดจนทราบว่าโจทก์มิได้นำไปชำระหลายเดือน จำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินชำระจึงต้องโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งรับชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างด้วย และรับโอนสิทธิการเช่าโดยสุจริตมีค่าตอบแทน มิได้สมยอมหรือฉ้อฉลโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ยอมให้โจทก์ใช้สิทธิของจำเลยที่ ๑เช่าซื้อ และเห็นว่าเงินผ่อนส่งค่าเช่าซื้อและเงินก่อสร้างปรับปรุงอาคารพิพาทเป็นเงินที่ทำมาหาได้เพื่อใช้จ่ายร่วมกัน จะถือว่าเป็นของฝ่ายใดฝ่ายเดียวไม่ได้ จำเลยที่ ๒ ได้รับโอนมาโดยชอบ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์อาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ เช่าซื้ออาคารสงเคราะห์รายนี้เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิเช่าซื้อได้ และได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อ๖๐ งวด เป็นเงิน ๗๔,๑๐๐ บาท รวมทั้งค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารอีกเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ซึ่งในส่วนหลังนี้ถือเป็นลาภมิควรได้แก่จำเลยที่ ๒พฤติการณ์เป็นการสมยอมระหว่างจำเลยทั้งสอง พิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ใช้เงินจำนวน ๗๔,๑๐๐ บาท และ ๒๕,๐๐๐ บาทตามลำดับแก่โจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินค่าเช่าซื้อและค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เงินค่าเช่าซื้อ ๖๐ งวดเป็นของจำเลยที่ ๑มอบให้โจทก์ไปชำระ ส่วนเงินค่าก่อสร้าง ๒๕,๐๐๐ บาท ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ หากจะมีก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นเรื่องมีสัญญากันว่า ให้จำเลยที่ ๑ ผู้มีสิทธิเช่าซื้อทำการเช่าซื้อทรัพย์สินนั้นมาโดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินส่งตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อมาแล้ว เพราะผลแห่งการที่โจทก์ออกเงินไป จำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ได้มานั้นให้แก่โจทก์หรือบุตรเป็นการตอบแทนเงินที่ออก เมื่อจำเลยที่ ๑ ทำผิดสัญญาคือไม่ปฏิบัติตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วงไป กลับเอาสิทธิการเช่าซื้อนั้นไปโอนให้คนอื่นเสีย ทำให้โจทก์หรือบุตรไม่อาจได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นได้ จำเลยที่ ๑ ผู้กระทำผิดสัญญาก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์และเท่าที่โจทก์เรียกค่าเสียหายคิดเอาตามที่ได้ออกเงินชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วกับค่าที่ลงทุนปรับปรุงอาคารที่เช่าซื้อไปแล้วนั้น นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ย่อมจะเรียกร้องเอากับจำเลยที่ ๑ ได้ในกรณีที่จำเลยที่ ๑อ้างเหตุผลว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มีความสัมพันธ์เป็นสามีภริยากันโจทก์จึงเรียกเอาเงินนั้นจากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ หรือหากจะได้ก็ได้ไม่ทั้งหมดเพราะถือว่าเป็นเงินของจำเลยมีร่วมอยู่ส่วนหนึ่งด้วยนั้นเห็นว่าฟังไม่ได้เพราะโจทก์มิได้มีฐานะเป็นคู่สมรสโดยถูกต้องด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑แต่อย่างใด และเงินที่โจทก์ได้มาแล้วเอาชำระไปนั้นก็เป็นเงินที่โจทก์ได้มาส่วนตัว ไม่ใช่เงินที่ทำมาหาได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑
แต่สำหรับส่วนตัวจำเลยที่ ๒ แม้หากจะฟังได้ด้วยว่าเมื่อก่อนจำเลยที่ ๒ จะรับโอนสิทธิการเช่าซื้อมาจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้รู้ถึงกรณีตามที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้กระทำกันมานั้นด้วยก็ตาม การที่จำเลยที่ ๒ยังเข้ารับโอนสิทธิการเช่าซื้อมาทั้งที่รู้อยู่แล้วนั้น จัดไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ได้กระทำการผิดสัญญาอันใดกับโจทก์ เพราะในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒หาได้มีสัญญาอันใดกันไม่ และกรณีเป็นการที่จำเลยที่ ๒ เข้าไปถือสิทธิเอาตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ไม่มีอะไรที่เป็นลาภมิควรได้อันจำเป็นต้องคืนแก่โจทก์ตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชดใช้เงิน ๒๕,๐๐๐ บาทมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายจำนวน ๙๙,๑๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒

Share