แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องร้องขอคืนของกลาง ศาลชั้นต้นฟังว่าของกลางเป็นของผู้ร้องแต่ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลย จึงสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์และแม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ในข้อที่ว่าผู้ร้องมิใช่เจ้าของของกลาง ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาให้ยกคำร้อง ของผู้ร้อง ด้วยเหตุที่ของกลางมิใช่ของผู้ร้องได้ เมื่อผู้ร้องฎีกาต่อมา และศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของของกลาง ย่อมพิพากษายืนให้ยกคำร้อง ของ ผู้ร้องได้เช่นกัน เพราะผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืน
ย่อยาว
ผู้ร้องร้องขอคืนรถยนต์กระบะบรรทุกที่ศาลสั่งริบโดยอ้างว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง และผู้ร้องมิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมหรือร่วมกระทำผิด โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องเพราะผู้ร้องมีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเพราะผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่า รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องหรือไม่ หากเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดหรือไม่ ผู้ร้องและนายสวัสดิ์หรือแดง วินิจฉัย จำเลยที่ 2พยานผู้ร้องเบิกความว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของผู้ร้องมานานประมาณ 4-5 ปี ผู้ร้องมอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 2 ไว้เพื่อซื้อมันให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยที่ 2 ถูกจับ เห็นว่าคดีดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.8 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 รถยนต์ของกลางเป็นของญาติของจำเลยที่ 1 ที่นำมาใช้ประโยชน์ จำเลยที่ 2 ได้ให้การในวันรุ่งขึ้นหลังจากถูกจับ ได้ให้การโดยความสมัครใจ หากจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและได้รับมอบรถยนต์ไว้เพื่อซื้อมันจริงก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปกปิด น่าจะให้การไปตามความจริงเพื่อประโยชน์ของผู้ร้อง เมื่อเกิดคดีแล้วเป็นเวลานานหลายเดือน ผู้ร้องจึงมาร้องขอรถยนต์ของกลางคืน ร้อยตำรวจตรีอรรถพล นามนารถ พยานผู้ร้องเบิกความว่าเจ้าของรถยนต์ของกลางไม่เคยปรากฏตัวในชั้นสอบสวน หากจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและรับมอบรถยนต์ไว้ จำเลยที่ 2 ก็ต้องแจ้งให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจะต้องติดต่อขอรถคืนตั้งแต่ชั้นสอบสวน การที่ผู้ร้องไม่เคยปรากฏตัวในชั้นสอบสวนแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยเป็นลูกจ้างของผู้ร้อง และไม่เคยได้รับรถยนต์ไว้จากผู้ร้อง ข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าเคยติดต่อกับเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งให้ไปสู้คดีชั้นศาล ก็เป็นข้ออ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ทั้งจำเลยที่ 3 ได้ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.7 ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เมื่อมีลูกค้ามาติดต่อให้นำสินค้าไปส่ง ก็ใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะขนไปส่ง พันตำรวจโท ชัยชนะ ศุภกรโกศัยพยานโจทก์เบิกความว่ารถยนต์ของกลางเห็นจำเลยที่ 1 ใช้อยู่เป็นประจำประมาณ 2 ปี ข้อเท็จจริงมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่ารถยนต์ของกลางไม่ใช่ของผู้ร้อง เพราะไม่มีเหตุผลที่ผู้ร้องจะมอบการครอบครองให้แก่ผู้อื่นเป็นเวลานาน เมื่อรถถูกยึดก็นิ่งเฉยไม่แสดงตัวเป็นเจ้าของรถในชั้นสอบสวน เป็นพิรุธ แม้ตามเอกสารใบคู่มือการจดทะเบียนหมายล.1 จะระบุว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางแต่เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ แม้ไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงก็ไม่ทำให้การส่งมอบรถยนต์เสียไป ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่าคำพยานในสำนวนคดีเดิมหรือในชั้นพนักงานสอบสวนผู้ร้องไม่มีโอกาสซักค้านรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยในคดีดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งศาลย่อมรับฟังเพื่อสนับสนุนหรือหักล้างคำพยานในชั้นพิจารณาได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงไม่มีสิทธิร้องขอคืน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน