คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3428/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วแล้วประทับตราของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังลงชื่อไว้ในฐานะส่วนตัวภายใต้ข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล ด้วย เมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 โดย ท. และ ส. ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทน ได้สั่งจ่ายเช็คและประทับตราของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเช็คและ ท. กับ ส. ชำระเงินให้โจทก์เพียงบางส่วน หนี้ที่ยังค้างอยู่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ระงับไปเพราะหนี้ที่ชำระด้วยเช็คจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คนั้นได้มีการใช้เงินครบถ้วนแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม กรณีนี้ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับ จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุไว้แต่เพียงว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 14 จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยก็ต้องคิดเป็นอัตราร้อยละต่อปี โจทก์นำสืบว่าเป็นอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี โดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ยังบัญญัติห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ฉะนั้นที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 14 จึงมีความหมายที่เข้าใจได้ว่าร้อยละ 14 ต่อปี ไม่ใช่เป็นการไม่กำหนดอัตราที่จะต้องเสียดอกเบี้ยไว้ให้ชัดแจ้งอันจะต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีให้แก่โจทก์เมื่อทวงถาม กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และในฐานะส่วนตัวลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจำเลยทั้งสามไม่ชำระตามกำหนด ขอให้จำเลยทั้งสามรวมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ต่อมาถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การต่อสู้หลายประการ และว่าจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์แล้วโดยชำระด้วยเช็คหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับไปแล้ว และแปลงหนี้ไหม่แล้ว ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ จ่ายทุกสิ้นเดือน เป็นอัตราเกินกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ในกรณีที่โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินหมาย จ.๑ จากจำเลยที่ ๑ จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบั้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป จำกว่าจำชำระเสร็จ หรือได้รับชำระหนี้ไม่ครบก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๔ โดยจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วแล้วประทับตราของจำเลยที่ ๑ จำนวนเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และจำเลยที่ ๒ กัยที่ ๓ ยังลงชื่อไว้ในฐานะส่วนตัวภายใต้ข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล กำหนดใช้เงินเมื่อทวงถาม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ จ่ายดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน โจทก์ทวงถามจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ผัดผ่อนเรื่องมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ ออกเช็ค ๑ ฉบับ ลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ จำนวนเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินโดยนายเทียบทาน ทัพพะรังสี และนางสุนันทา พรพิบูลย์ เป็นผู้สั่งจ่ายประทับตราของจำเลยที่ ๑ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงฟ้องนายเทียบทานและนางสุนันทาเป็นคดีอาญา คนทั้งสองชำระเงินให้โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงถอนฟ้องคนทั้งสอง และยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ อีกเลยนับแต่วันที ๑ ธันวาคม ๒๕๑๙ คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๓ ว่า หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องระงับไปด้วยการชำระหนี้ตามเช็คที่นายเทียบทานและนางสุนันทาเป็นผู้ออกให้ หรือไม่ และจำเลยที่ ๓ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราเท่าใด
พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาว่า การที่โจทก์รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินด้วยเช็คของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีนายเทียบทาย ทัพพะรังสี และนางสุนันทา พรพิบูลย์ ลงลายมือชื่อเป็นผู้ออกเช็ค จะทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับไปหรือไม่นั้น เห็นว่าเช็คเอกสารหมาย จ.๒ ที่ออกเพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ ๑ ก็เป็นเช็คของจำเลยที่ ๑ เอง ส่วนผู้ลงลายมือชื่อออกเช็คได้ตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.๖ ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ชำระหนี้เอง แต่เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ และผู้ลงลายมือชื่อออกเช็คชำระเงินให้เพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท หนี้ที่ค้างชำระอยู่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ระงับไปเพราะหนี้ที่ชำระด้วยเช็คจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คนั้นได้มีการ
ใช้เงินครบถ้วนแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคสาม ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับ จำเลยที่ ๓ ผู้ค้ำประกันด้วยอาวับจึงต้องรับผิดรวมกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ ๓ จะต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดนั้นเห็นว่า การที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุไว้แต่เพียงว่า ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยก็ต้องคิดเป็นร้อยละต่อปี โจทก์ก็นำสืบว่าเป็นอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี โดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ยังบัญญัติไว้ว่าท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ฉะนั้น ที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุดอกเบี้ยไว้ร้อยละ ๑๔ จึงมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้ว่าร้อยละ ๑๔ ต่อปี ซึ่งไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ใช่เป็นการไม่กำหนดอัตราที่จะต้องเสียดอกเบี้ยไว้ให้ชัดแจ้ง อันจะต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ดังที่จำเลยที่ ๓ ฎีกา
พิพากษายืน

Share