คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2566/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้กำลังและอาวุธปืนบังคับจับนมจูบปากและหน้าผู้เสียหายแล้วใช้ของลับกระแทกใส่ของลับของผู้เสียหาย 1 ครั้ง ผู้เสียหายเจ็บและตะโกนขอความช่วยเหลือ จำเลยก็หลบหนีไป ทั้งยังได้ความจากพนักงานสอบสวนว่าตามใบแพทย์ไม่พบเชื่ออสุจิและรอยฟกช้ำจากการถูกข่มขืน ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าของลับของจำเลยได้เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราดังฟ้อง แต่การกระทำของจำเลยส่อถึงเจตนาว่าจะกระทำชำเราผู้เสียหายมาแต่ต้น จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๘ ให้จำคุกจำเลย ๑ ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ให้จำคุกจำเลย ๑๕ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความตามคำของผู้เสียหายว่าจำเลยใช้กำลังและอาวุธปืนบังคับจับนม จูบปาก และหน้าผู้เสียหายแล้วใช้ของลับใส่ของลับของผู้เสียหายกระแทก ๑ ครั้ง ผู้เสียหายเจ็บและตะโกนขอความช่วยเหลือ จำเลยก็หลบหนีไป แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าของลับของจำเลยยังไม่ได้เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำพยานหรือหลักฐานอื่นเข้าสืบให้ปรากฏว่า ของลับของจำเลยได้เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย อันจะเป็นการกระทำความผิดฐานกระทำชำเราสำเร็จแล้ว ตรงข้ามกลับได้ความจากพันตำรวจตรีสุนทร ธีระกร พนักงานสอบสวนคดีนี้ว่าตามใบแพทย์ไม่พบเชื้ออสุจิและรอยฟกช้ำจากการถูกข่มขืน พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่าของลับของจำเลยได้เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราดังฟ้อง แต่การกระทำของจำเลยส่อถึงเจตนาว่าจะกระทำชำเราผู้เสียหายมาแต่ต้น จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง, ๘๐ จำคุกจำเลย ๑๐ ปี

Share