แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ซึ่งมีราคา 6หมื่นกว่าบาท และทำลายทรัพย์สินในที่ดินนั้น ขอให้ลงโทษและขับไล่จำเลยจำเลยปฏิเสธว่ามิได้บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ กับต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 363 และ 358ปรับ 550 บาท และให้ขับไล่จำเลยกับให้ใช้ค่าเสียหายศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่าให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 363 แต่บทเดียวปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ข้อที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินที่พิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะขาดเจตนานั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างฟังมาแล้วว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในทางแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่ประเด็นนี้ ในคดีส่วนอาญา ศาลล่างก็ฟังเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้นด้วย ไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นไปได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่บ้านและสวน จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2-3 ทำลายรั้วเขตของโจทก์และบุกรุกเข้าไปแผ้วถางตัดฟัน และเผาป่าละเมาะ ต้นไม้ และรั้วไม้ภายในที่ดินของโจทก์และทำรั้วกั้นเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โดยเจตนาทำลายทรัพย์และทำลายรั้วอันเป็นเครื่องหมายอาณาเขตที่ดินของโจทก์ และเจตนาบุกรุกเพื่อถือการครอบครองที่ดินบางส่วน ทั้งเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362, 363, 83, 84 และพิพากษาขับไล่ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ และให้รื้อรั้วออกไป กับให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่ารั้วและค่าต้นไม้ 400 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้บุกรุกเข้าตัดฟันต้นไม้และรื้อรั้วในที่ดินโจทก์ ที่ดินตามฟ้องมิใช่ของโจทก์ แต่เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ฯลฯ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทำลายของของโจทก์เสียหาย แต่จำเลยที่ 2-3 กระทำโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดและไม่มีเจตนาบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของโจทก์จึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363, 84 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 363 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ให้ปรับ 500 บาท กับมีความผิดตาม มาตรา 358, 84 ด้วย ให้ปรับ 50 บาท รวมโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็น550 บาท ยกฟ้องคดีอาญาเฉพาะตัวจำเลยที่ 2, 3 ให้ขับไล่จำเลยและบริวารและห้ามเกี่ยวข้อง กับให้รื้อรั้วและร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 200 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดมาตรา 362,363, 358 ประกอบด้วย 84 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 363 ประกอบด้วย 90ให้ปรับจำเลยที่ 1 500 บาท
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และจำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินที่พิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนฟ้อง ฟ้องอาญาของโจทก์จึงขาดเจตนาตามกฎหมาย ไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ฎีกาข้อที่ว่าฟ้องอาญาของโจทก์ขาดเจตนาตามกฎหมาย จึงไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญานั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพราะศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเจตนาบุกรุกแล้ว จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทางอาญา จำเลยจะฎีกาให้ฟังเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีแต่ในทางแพ่งซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะที่ดินพิพาทมีราคา 66,555 บาท ประเด็นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงทางอาญา ศาลล่างฟังเป็นยุติว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 บุกรุกที่พิพาทรายนี้ ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ศาลล่างฟังไว้ในคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1740/2493 ไม่มีทางฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไปได้
พิพากษายืน