แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถโจทก์ที่ 2 เสียหายแล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดระงับไป และทำให้ได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดโดยอาศัยมูลละเมิดและทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างระงับไปด้วย
จำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระค่าเสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์ที่ 2 ความผูกพันตามสัญญาประกันภัยซึ่งโจทก์ที่ 1 ผู้รับประกันภัยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 ย่อมยังไม่ระงับ เมื่อโจทก์ที่ 1 ได้ใช้ค่าซ่อมรถแทนโจทก์ที่ 2 ไป จึงเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามจำนวนที่ชดใช้ไปจริงแต่ไม่เกินจำนวนที่โจทก์ที่ 2 มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 ที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มิได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกับโจทก์ที่ 2 ด้วยโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ ๑ ได้รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากโจทก์ที่ ๒ ในวงเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์รถของโจทก์ที่ ๒ ด้วยความประมาทในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย โจทก์ที่ ๑ จ่ายค่าซ่อมแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๒๘,๔๐๕ บาท ระหว่างซ่อมโจทก์ที่ ๒ เสียค่าว่าจ้างรถคันอื่นไปประกอบธุรกิจ และเมื่อซ่อมเสร็จแล้วรถเสื่อมสภาพลง ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๓๐,๕๓๕ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓๕,๔๗๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่าจำเลยที่ ๒ มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ ทำการตามทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุเกิดเพราะโจทก์ที่ ๒ เป็นฝ่ายประมาท จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเนื่องจากโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในเรื่องละเมิดคดีนี้แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ ๑ รับประกันภัยรถยนต์โจทก์ที่ ๒ ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นเจ้าของในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชนท้ายรถของโจทก์ที่ ๒ โดยละเมิด เป็นเหตุให้รถของโจทก์ที่ ๒ เสียหาย โจทก์ที่ ๑ ซ่อมรถให้โจทก์ที่ ๒ ตามสัญญาประกันภัยเสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน ๒๘,๔๐๕ บาท หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ ๑ ตกลงกับโจทก์ที่ ๒ ยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓๐,๗๓๐ บาท โดยขอผ่อนชำระเป็น ๒ งวด ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๖ มีข้อความว่าจำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓๐,๗๓๐ บาทโดยผ่อนชำระเป็น ๒ งวด งวดแรกจะชำระในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ เป็นเงิน ๑๕,๓๖๕ บาท งวดที่ ๒ จะชำระในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ เป็นเงิน ๑๕,๓๖๕ บาทเอกสารดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ เมื่อจำเลยที่ ๑ ยังมิได้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ ตามสัญญาดังกล่าว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ยังมิได้ปฏิบัติตามสัญญา ความผูกพันตามสัญญาประกันภัยซึ่งโจทก์ที่ ๑ จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๒ ย่อมยังไม่ระงับไป เมื่อโจทก์ที่ ๑ ได้จ่ายค่าซ่อมรถแทนโจทก์ที่ ๒ ไปแล้วย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ ๒ ผู้เอาประกันภัยได้ตามจำนวนเงินที่โจทก์ที่ ๑ ได้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกินจำนวนที่โจทก์ที่ ๒ มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๑ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถจำนวน ๒๘,๔๐๕ บาท ให้แก่โจทก์ที่ ๑ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ที่ ๑ เข้ารับช่วงสิทธิคือวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๔ อันเป็นวันที่โจทก์ที่ ๑ ได้ชำระค่าซ่อมรถไปและวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อสุดท้ายว่าเมื่อโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันขึ้นแล้วก็ต้องถือว่ามีสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดขึ้นแล้ว และมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย ….. ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ ย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิดเดิมระงับไปและทำให้ได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อมูลหนี้ละเมิดเดิมระงับไปแล้ว โจทก์ที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดโดยอาศัยมูลหนี้ละเมิดนั้น และย่อมทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ที่จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ นั้นระงับไปด้วยโจทก์ที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้เช่นกัน โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ ๒ ที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๒๘,๔๐๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.