คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรสโดยการยกให้โดยเสน่หาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2518 ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับ กรณีจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม เมื่อหนังสือยกให้ที่ดินรายนี้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวแก่โจทก์ จึงตกเป็นสินสมรส

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า โจทก์แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับจำเลยต่อมาจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งได้ด่าว่าโจทก์และบุพการีของโจทก์ ทำร้ายโจทก์ นอกจากนี้จำเลยยังได้เข้าไปอยู่ในบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ หมู่ที่ ๑๘ แขวงลาดยาว เขตบางเขน และมีหนังสืออายัดที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๓๔๐๙ แขวงบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ ดังกล่าว ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันเพิกถอนการอายัดบ้านและที่ดินของโจทก์ แบ่งสินสมรส และขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม สินสมรสที่ขายไปเพื่อนำเงินมาชำระหนี้จำนองธนาคาร และซ่อมแซมบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ จำเลยไม่เคยประพฤติชั่วโจทก์ประสงค์จะแยกกับจำเลยไปสมรสกับชายอื่น จึงแต่งเรื่องอันเป็นเท็จมาฟ้อง และที่จำเลยอายัดที่ดินไว้เพราะเกรงโจทก์จะยักย้ายไป บ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ เป็นบ้านของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการอันถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ที่ดินที่จำเลยอายัดและบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ให้เพิกถอนการอายัดที่ดินของจำเลย และขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งเงินสินสมรสให้โจทก์ ๔๓,๕๑๖.๖๖ บาท ให้ยกคำขอเพิกถอนการอายัดที่ดิน และขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๑๖ และเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๑๘ นางกุหลาบ ไวทยานุวัตติ ย่าของโจทก์ได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๓๔๐๙ ให้แก่โจทก์โดยเสน่หา ดังนั้นจึงเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาระหว่างเป็นสามีภริยาจำเลยโดยการยกให้โดยเสน่หา และตามหนังสือยกให้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ เห็นว่ายกให้ที่ดินรายนี้กระทำก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิมมาตรา ๑๔๖๔ ซึ่งบัญญัติว่า ‘สินส่วนตัวได้แก่ ฯลฯ (๓) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างเป็นสามีภริยาโดยทางพินัยกรรม หรือยกให้โดยเสน่หาเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้นั้นมิได้แสดงไว้ให้เป็นสินส่วนตัว’ เมื่อหนังสือยกให้ที่ดินรายนี้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวแก่โจทก์ จึงต้องตกเป็นสินสมรสตามมาตรา ๑๔๖๖ บรรพ ๕ เดิม สำหรับบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ เชื่อว่าขณะที่นางกุหลาบยกที่ดินให้แก่โจทก์ มีบ้านหลังนี้ปลูกอยู่ในที่ดินแล้วคดีฟังได้ว่า บ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ พร้อมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๓๔๐๙ เป็นสินสมรสฉะนั้น จำเลยย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินรายนี้กึ่งหนึ่ง ถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของรวมกับโจทก์ในทรัพย์สินรายนี้คนละส่วนเท่ากัน ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิอายัดบ้านและที่ดินรายนี้เพื่อมิให้โจทก์จำหน่ายจ่ายโอนแก่ผู้ใดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๙ และโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าวได้ เพราะจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมด้วยที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านดังกล่าวให้ยกคำขอเพิกถอนการอายัดที่ดิน และคำขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๑๔๑/๙ หมู่ที่ ๑๘ แขวงลาดยาว เขตบางเขน กรุงเทพมหานครนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน.

Share