แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรรมการตรวจฎีกาจำเลย อุทธรณคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ
ย่อยาว
คดีนี้โจทย์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๔๙-๒๕๐ กล่าวว่าจำเลยสมคบกัน โดยจำเลยที่ ๑ ซึ่งเปนกำนันได้จ้างฤาใช้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ฆ่านายติ๊บตายโดยความอาฆาฎด้วยเรื่องที่นายติ๊บคอยจะทำร้ายจำเลยที่ ๑ ครั้นวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๙ จำเลยที่ ๒-๓-๔ ได้ใช้สาตราวุธฆ่านายติ๊บตายตามความประสงค์ของจำเลยที่ ๑ แล้วได้ช่วยกันเอาเพลิงเผาศพนายติ๊บเสีย เหตุเกิดที่ตำบลแจ้ห่มเหนือ จังหวัดลำปาง ฯ
นายอุตมาจำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพว่า มีสาเหตุโกรธแค้นายติ๊บจึงได้จ้างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ฆ่านายติ๊บ แลจำเลยที่ ๒ ได้มาเอาเงินค่าจ้างไปจากจำเลยที่ ๑ เปนเงิน ๒๐ รูเปียแล้ว ฯ
นายจี๋จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้จ้างจำเลยที่ ๒ ให้ฆ่านายติ๊บ แต่จำเลยไม่ยอมรับกระทำตาม ในคืนวันนั้นจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ มานั่งรับประทานสุราที่ปลายเท้าจำเลยนอน แล้วจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ พูดว่าเขาได้ฆ่านายติ๊บตายแลเผาเสียแล้ว ๆ จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้เงินแก่จำเลยที่ ๒ เปนเงิน ๑๑ รูเปีย เพื่อปิดปากไม่ให้จำเลยที่ ๒ พูดถึงเรื่องที่จำเลยเหล่านั้นคบคิดกันฆ่านายติ๊บตาย ฯ
นายจิกจำเลยที่ ๓ ให้การว่า ในวันนั้นจำเลยที่ ๒ ได้ชวนนายจิกจำเลยกับนายติ๊บแลจำเลยที่ ๔ ไปหาสุรารับประทานแล้วพากันไปนอนอยู่ที่กองฟางในทุ่งนา จำเลยที่ ๒ ใช้ให้นายจิกจำเลยไปเที่ยวลักกระบือ แต่นายจิกจำเลยหาได้ไปลักกระบือไม่ นายจิกจำเลยไปแอบอยู่ที่ข้างจอมปลวกห่างกองฟาง ๑ เส้น ได้ยินเสียงตุบตับเข้าใจว่าเขาทำร้ายกัน นายจิกจำเลยวิ่งไปดูเห็นนายติ๊บมีบาดแผลนอนตายอยู่ แลได้เห็นจำเลยที่ ๒ ที่ ๔ อยู่ในที่นั้น แล้วจำเลยที่ ๒ ใช้ให้นายจิกจำเลยเอาฟางทับศพแลเผาศพ จำเลยมีความกลัวก็ยอมทำตามแลได้ค่าจ้างเผาศพ ๒ รูเปีย แล้วพากันกลับไปบ้านจำเลยที่ ๑ ฯ
นายปัญญาจำเลยที่ ๔ ให้การว่า ได้รับประทานสุรากับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แลนายติ๊บ แล้วพากันไปที่ทุ่งนาซึ่งมีกองฟาง นายปัญญาจำเลยกับนายติ๊บเมาสุรานอนหลับไป ได้ยินเสียงอึกอักตื่นขึ้นเห็นนายติ๊บถูกแทงตาย แล้วจำเลยที่ ๒ บังคับให้นายปัญญาจำเลยช่วยเผาศพนายติ๊บ นายปัญญาจึงต้องช่วยเผาศพนั้น ส่วนมีดที่แทงนายติ๊บนั้นจำเลยที่ ๒ เอาไปทิ้งที่แม่น้ำสร้อย ฯ
เมื่อจำเลยต่างซิดกันดังนี้โจทย์นำสืบพยาน ๑. มีคำนายสุดใจ นายจุมพยานให้การว่า จำเลยที่ ๑ ใช้ให้พยานไปดูศพโดยจำเลยที่ ๒-๓-๔ เปนผู้พาไปชี้ที่ให้ดู เห็นมีแต่ก้อนกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ก้อนหนึ่งโตเท่าสีสะคน แต่จะเปนก้อนอะไรพยานไม่ทราบ แล้วพยานก็ช่วยเผาต่อไป ๒.มีคำน้อยยาวันพยานให้การว่า นายอุตมาจำเลยที่ ๑ ชวนพยานไปรับประทานสุราพบจำเลยที่ ๒-๓-๔ ที่บ้านหนานคนพรมเมื่อรับประทานสุรากันแล้ว นายอุตมาจำเลยที่ ๑ ขอให้พยานช่วยอุดหนุนออกเงินให้จำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ ได้จ้างจำเลยที่ ๒-๓-๔ ให้ฆ่านายติ๊บ พยานได้ถามในหมู่จำเลยว่าเองไปทำอย่างไรกัน จำเลยที่ ๒ ว่าเอาไปล้มแล้ว มีดของมันแทงมันเองที่ทุ่งดานแลเผาเสียแล้ว ๆ จำเลยที่ ๑ ได้พูดกำชับพยานว่าอย่าพูดไป นายติ๊บกับจำเลยที่ ๑ นั้นพยานทราบว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกัน ๓.มีคำนายยาวิละเห็นจำเลยที่ ๒-๓ กับนายติ๊บพากันไปที่เรือนจำเลยที่ ๒ ต่อมานางดีภรรยาจำเลยที่ ๓ มาบอกพยานว่าเขาเอานายติ๊บไปฆ่าเสียแล้ว ๆ เอาไปเผาเสียด้วย พยานไปดูเห็นกองไป แลมีกระดูกเรี่ยราดอยู่ในที่นั้น ๔.มีคำนายพวงเจ้าของนาให้การว่า เห็นมีกองไฟอยู่ที่นาพยานแลมีกระดูกตกเรี่ยราดอยู่ที่กองไปนั้น แต่จะเปนกระดูกอะไรพยานหาทราบไม่ แลมีกระจกสีเขียวแตกอยู่ในที่นั้น ๓-๔ ซีกพยานเก็บเอาไปทิ้งที่ป่า แล้วภายหลังนำอำเภอไปเอากระจกนั้นคืนมา ต่อมาอีก ๔-๕ วันน้อยกันหามาบอกแก่พยานว่าเขาเอานายติ๊บไปฆ่าที่ทุ่งนาพยาน ๆ ทราบเรื่องแล้วจึงเข้าใจว่ากระดูกนั้นเปนกระดูกคน นอกจากนี้ได้ความว่านายติ๊บเปนคนจักษุเสียข้าง ๑ เคยสรวมแว่นตาเขียวฤาดำ ได้ความดังนี้ศาลมณฑลมหาราษฎร์เห็นว่าแม้โจทย์จะไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นในเวลาจำเลยฆ่านายติ๊บก็ดี แต่ตามคำรับแลคำซัดทั้งข้อพิรุธของจำเลยประกอบหลักฐานโจทย์ ฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้เปนผู้จ้างจำเลยที่ ๒-๓-๔ เปนผู้ฆ่านายติ๊บตายจริงดังข้อหามีผิดตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๔๙ แล ๖๓-๖๔ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาพยายามล่อลวงไปด้วยความทารุณชั่วร้ายมากควรลงโทษถึงประหารชีวิต หากจำเลยให้การรับสารภาพฤาคำรับของจำเลยมีประโยชน์แก่ทางพิจารณา ควรปราณีย์ตามมาตรา ๕๙พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ ๑-๒-๓-๔ ไว้จนตลอดชีวิต ฯ
นายอุตมา นายจิก นายปัญญาจำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่า ฟ้องอุทธรณของนายปัญญาจำเลยที่ ๔ นั้นยื่นอุทธรณเกินกำหนดอายุอุทธรณ ๑ วัน แต่นายจี๋จำเลยที่ ๒นั้นถึงจะมิได้อุทธรณมาด้วยก็ดี เมื่อศาลตัดสินลงโทษจำเลยถึงจำคุกตลอดชีวิตแล้ว น่าที่ของศาลอุทธรณจะต้องตรวจวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญาปี ร.ศ.๑๑๕ มาตรา ๓๘ รวมกันไป เมื่อได้ตรวจแล้วพิพากษาแก้แต่เฉภาะบทที่ลงโทษจำเลยที่ ๑ นั้น ให้ใช้มาตรา ๒๕๐ ข้อ ๓ แลมาตรา ๖๔ เปนบทลงโทษจำเลยที่ ๑ นอกจากนี้เห็นชอบด้วยศาลมณฑล ฯ
จำเลยที่ ๑ – ๓ – ๔ ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมตรวจสำนวนเรื่องนี้ตลอดแล้วได้ความแต่ว่านายติ๊บหายไปจากบ้าน แต่จะหายไปทางไหนฤาถูกฆ่าตายนั้น ข้อนี้ตามคำพยานโจทย์ที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นนั้น ก็หามีผู้ใดรู้เห็นแน่นอนไม่ แม้จำเลยที่ ๒-๓-๔ จะได้พานายสุดใจ นายจุมไปดูที่ ๆ เผาศพกระดูกเรี่ยราดอยู่ก็ดีแต่กระดูกนั้นจะเปนกระดูกคนฤากระดูกอะไรพยานก็หาทราบได้ไม่จะเปนด้วยจำเลยที่ ๒-๓-๔ หลอกจำเลยที่ ๑ ให้เข้าใจว่านายติ๊บได้ถูกฆ่าตายแล้วพาพยานทั้ง ๒ คนนี้ไปดู เพื่อจะได้กลับมาบอกจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ เชื่อมั่นว่าเปนความจริงก็อาจเปนได้ เพราะจำเลยที่ ๒-๓-๔ ต้องการอยากได้ทรัพย์จากจำเลยที่ ๑ ส่วนกระจกสีเขียวที่เก็บได้ ๔-๕ ชิ้นซึ่งเจ้าพนักงานไปค้นเก็บเอามานั้น จะเปนกระจกแว่นตาของนายติ๊บใช่ฤาไม่ก็ยังไม่ชัด ถึงจำเลยที่ ๑ จะให้การรับว่าได้มีการโกรธแค้นนายติ๊บแลพูดจ้างจำเลยที่ ๒-๓-๔ ให้ฆ่านายติ๊บก็ดี เมื่อไม่แน่ว่าจำเลยที่ ๒-๓-๔ ได้ฆ่านายติ๊บตายดังความประสงค์ของจำเลยที่ ๑ แล้ว จะฟังแต่คำให้การที่จำเลยต่างคนต่างซัดกันว่าคนอื่นเปนคนฆ่ามาลงโทษจำเลยว่าเปนผู้ใช้แลผู้ฆ่านายติ๊บตายดังความเห็นของศาลล่างนั้นยังมิได้อาศรัยเหตุที่หลักฐานโจทย์ไม่ชัดเจนดังนี้ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างแลฟ้องโจทย์เสีย ให้ปล่อยตัวจำเลยทั้ง ๔ คนหลุดพ้นโทษไปตามคำพิพากษานี้ ฯ
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓