แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกำลังแบ่งบรรจุ เมทแอมเฟตามีนของกลางจริง การกระทำของจำเลยดังกล่าวตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4ถือว่าเป็นการผลิตเมทแอมเฟตามีนแล้ว และพฤติการณ์ของจำเลย ที่แบ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางออกเป็นส่วนย่อยและบรรจุลง ในหลอดดูดเครื่องดื่มแล้วจำนวน 1 หลอด ทั้งยังมีหลอดดูด เครื่องดื่มเปล่าตัดเป็นท่อน ๆ จำนวนหนึ่งวางอยู่ เป็นการกระทำ เพื่อความสะดวกในการจัดจำหน่ายนั่นเอง จำเลยย่อมมีความผิด ฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนโดยการแบ่งบรรจุจากถุงพลาสติกใส่หลอดเครื่องดื่มเสร็จแล้ว 1 หลอด จำนวน 2 เม็ด เพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย เป็นการ ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบสมตามที่โจทก์บรรยายฟ้องแล้ว ที่โจทก์ อ้างขอให้ลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 และมาตรา 85 แทนที่จะอ้างมาตรา 65จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลย ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า กรณีหาใช่ศาลฟังข้อเท็จจริงในทางพิจารณา แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องในข้อที่มิใช่สาระสำคัญ อันจะต้องพิจารณาว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วยหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 65 วรรคสอง จึงไม่เกินคำขอของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 85, 66, 67, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลางที่เหลือทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ปฏิเสธในข้อหาผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคสอง,66 วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิตชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูกต้องประกอบด้วยมาตรา 52(1)) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ได้ผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายดังฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษแก่จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(2)คงจำคุก 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 197 เม็ด น้ำหนัก 13.79 กรัม อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีสิบตำรวจตรีอดุลย์ เภารัศมี กับสิบตำรวจตรีสุวุฒิ หินแก้วผู้ร่วมจับกุมจำเลยมาเบิกความได้ความทำนองเดียวกันว่าขณะจับจำเลยได้ที่บริเวณหลังบ้านนั้น พบเมทแอมเฟตามีน 195 เม็ดบรรจุในถุงพลาสติกชนิดรุด เปิดปิดปากถุงได้จำนวน 1 ถุง เมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด บรรจุในหลอดดูดเครื่องดื่ม จำนวน 1 หลอด หลอดดูด เครื่องดื่มตัดเป็นท่อนยาว 2 เซนติเมตร ลนไฟปิดข้างหนึ่งแล้วจำนวน 10 หลอด หลอดดูดเครื่องดื่มตัดเป็นท่อนยาว 2 เซนติเมตรยังไม่ได้ลนไฟ จำนวน 10 หลอด มีดแสตนเลส 1 เล่ม เงิน 190 บาทไฟแช็ก แก๊ส 1 อัน และเทียนไขจุดใช้แล้วยาวประมาณ 5 นิ้ว1 เล่ม วางอยู่บนโต๊ะเครื่องครัวหลังบ้าน ยึดไว้เป็นของกลางและในขณะนั้นเทียนไขของกลางยังติดไฟอยู่จึงร่วมกันจับกุมจำเลยแจ้งข้อหาว่าผลิตและมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหารายละเอียดปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมายจ.2 และโจทก์มีร้อยตำรวจเอกไพวรรณ สาเพิ่มทรัพย์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ในชั้นสอบสวนได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าผลิตและมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ รายละเอียดปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.4 เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมและสอบสวนจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ทั้งไม่รู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่าได้เบิกความไปตามความจริงที่เกิดขึ้นและทำบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การไปตามที่จำเลยให้การทั้งยังได้ความด้วยว่าได้อ่านข้อความในบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การให้จำเลยฟังก่อนแล้วจึงให้จำเลยพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือไว้เป็นหลักฐานที่จำเลยเบิกความอ้างว่าจำเลยพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือในบันทึกการจับกุมและในบันทึกคำให้การโดยไม่ทราบข้อความเพราะไม่รู้หนังสือก็ดี และที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาว่าการรับสารภาพของจำเลยนั้น จำเลยเข้าใจว่าเป็นการรับสารภาพในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอย่างเดียวโดยไม่ทราบถึงข้อหาผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายด้วยก็ดีนั้นคงมีแต่ตัวจำเลยปากเดียวเบิกความลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมและสอบสวนจำเลยว่า จำเลยให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในข้อหาผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1(เมทแอมเฟตามีน) เพื่อจำหน่ายด้วยข้อที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาว่า บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ได้ใช้ใบต่อคำให้การซึ่งเป็นเอกสารของพนักงานสอบสวน จึงน่าจะมีการทำบันทึกการจับกุมที่สถานีตำรวจพร้อมเอกสารอื่น เพราะหากทำบันทึกการจับกุมที่บ้านที่เกิดเหตุแล้วจะให้ผู้ร่วมจับกุมใช้ใบต่อคำให้การได้อย่างไร กรณีจึงส่อพิรุธนั้น เห็นว่า แม้บันทึกการจับกุมจะได้ใช้ใบต่อคำให้การ แต่ตามบันทึกการจับกุมนั้นได้ระบุชัดแจ้งว่าเขียนที่บ้านเลขที่ 8/2 หมู่ที่ 2 ตำบลเกาะพลับพลาอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุ และจำเลยก็มิได้ถามค้านพยานโจทก์ ผู้ร่วมจับกุมในข้อนี้ ทั้งตามเนื้อหาในบันทึกการจับกุมเกี่ยวกับข้อหาความผิดตลอดจนที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็ตรงตามที่พยานโจทก์ทั้งสองผู้ร่วมจับกุมเบิกความ บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 จึงหาเป็นพิรุธดังข้อฎีกาของจำเลยไม่ และถึงแม้สิบตำรวจตรีอดุลย์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานโจทก์เพียงปากเดียวที่อ้างว่ารู้เห็นขณะจำเลยแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางจะเบิกความขัดกันอยู่ในตัวโดยตอนแรกเบิกความตอบโจทก์ว่า เมื่อพยานเดินอ้อมไปด้านหลังบ้าน เห็นจำเลยกำลังแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนจากถุงพลาสติกใส่หลอดพลาสติกแล้วใช้ไฟลนปิดหัวท้ายหลอดแต่กลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าพยานเห็นจำเลยกำลังเอาหลอดพลาสติกลนไฟ ซึ่งเป็นการขัดกันในข้อสาระสำคัญทำให้ไม่น่าเชื่อว่าสิบตำรวจตรีอดุลย์ได้รู้เห็นขณะจำเลยแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลาง ดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาแต่จากข้อเท็จจริงซึ่งฟังได้ตามคำเบิกความของสิบตำรวจตรีอดุลย์และสิบตำรวจตรีสุวุฒิว่า ได้ร่วมกันจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งมีจำนวน 197 เม็ด ได้บรรจุในถุงพลาสติกชนิดรูด เปิดปิดปากถุงได้จำนวน 195 เม็ด และบรรจุในหลอดเครื่องดื่มอีก 1 หลอดจำนวน 2 เม็ด กับมีหลอดดูดเครื่องดื่มตัดเป็นท่อนทั้งที่ลนไฟปิดข้างหนึ่งแล้วและที่ยังไม่ลนไฟรวมจำนวน 20 หลอด มีดแสตนเลส1 เล่ม ไฟแช็ก แก๊ส 1 อัน และเทียนไข 1 เล่ม ซึ่งขณะนั้นติดไฟอยู่เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยยกกำลังแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางใส่หลอดดูดเครื่องดื่มอยู่ มิฉะนั้นคงไม่มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด แยกบรรจุอยู่ในหลอดดูดเครื่องดื่มและในหลอดดูดเครื่องดื่มตัดเป็นท่อน ๆ จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีน กับมีเครื่องมือเครื่องใช้วางอยู่ในลักษณะนั้น ทั้งตามบันทึกการจับกุมก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนเข้าจับกุมจำเลยกำลังยืนลนหลอดดูดเครื่องดื่มอยู่ และตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การมีรายละเอียดว่า วันเวลาเกิดเหตุขณะที่จำเลยกำลังนำเมทแอมเฟตามีนมาแบ่งบรรจุใส่หลอดพลาสติกที่ตัดเตรียมไว้หลอดละ 1 เม็ด แล้วใช้ไฟลนปิดหัวท้ายที่บริเวณด้านหลังบ้าน มีเจ้าพนักงานตำรวจแต่งกายนอกเครื่องแบบเข้ามาทำการจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางดังกล่าวข้างต้นจึงช่วยเสริมให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดียิ่งขึ้น เมื่อประมวลพยานหลักฐานโจทก์ประกอบพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ได้วินิจฉัยมาข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกำลังแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางจริง การกระทำของจำเลยดังกล่าวตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ถือว่าเป็นการผลิตเมทแอมเฟตามีนแล้วและพฤติการณ์ของจำเลยที่แบ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางออกเป็นส่วนย่อยและบรรจุลงในหลอดดูดเครื่องดื่มแล้วจำนวน 1 หลอด ทั้งยังมีหลอดดูดเครื่องดื่มเปล่าตัดเป็นท่อน ๆ จำนวนหนึ่งวางอยู่ เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจัดจำหน่ายนั่นเองที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ในการจำหน่ายจำเลยหยิบเม็ดเมทแอมเฟตามีนให้แก่ผู้ซื้อเป็นเรื่องเลื่อนลอยทั้งขัดแย้งกับที่จำเลยให้การไว้ในชั้นสอบสวนไม่มีน้ำหนักที่จะฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยผลิตโดยการแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อจำหน่ายจำเลยย่อมมีความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายตามฟ้องเมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้วข้ออ้างประการอื่นในฎีกาของจำเลยจึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยฟังว่า จำเลยกระทำความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อจำหน่ายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการที่สองตามที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้าศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดที่ถูกต้องได้เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธเมื่อโจทก์อ้างมาตราผิดโดยไม่ได้ขอแก้ฟ้องก่อนศาลมีคำพิพากษาแต่อย่างใด ทำให้จำเลยเสียเปรียบหลงต่อสู้ ศาลล่างทั้งสองจึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดที่ถูกต้องได้ และข้ออ้างตามกฎหมายศาลชั้นต้นก็ไม่ได้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์สืบสมออย่างไรในคำพิพากษา จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์นั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยการแบ่งบรรจุจากถุงพลาสติกใส่หลอดดูดเครื่องดื่มเสร็จแล้ว 1 หลอด จำนวน 2 เม็ดเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบสมตามที่โจทก์บรรยายฟังแล้ว ที่โจทก์อ้างขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 และมาตรา 85 แทนที่จะอ้างมาตรา 65 จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้าดังกล่าว กรณีหาใช่ศาลฟังข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ กล่าวในฟ้องในข้อที่มิใช่สาระสำคัญอันจะต้องพิจารณาว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วยหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 65 วรรคสองจึงไม่เกินคำขอของโจทก์ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนที่จำเลยฎีกาประการสุดท้ายขอให้ลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า ความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสองวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว จึงไม่อาจลดโทษจำเลยให้ต่ำกว่านี้ได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน