แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และมีคำสั่งให้เรียกบริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องขอของจำเลยที่ 1  ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งต้องกันให้จำเลยที่ 1 ไปฟ้องโจทก์และจำเลยร่วมเป็นคดีใหม่  โดยอาศัยเหตุที่ว่าคำฟ้องแย้งและคำร้องขอให้เรียกบริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม  ย่อมมีผลเป็นการเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องแย้งและที่ให้เรียกบริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถบรรทุกของโจทก์นำไปให้ อ. ลูกจ้างขับในทางการที่จ้างชนกับรถคันอื่นโดยประมาท  เป็นเหตุให้รถของโจทก์พลิกคว่ำไฟไหม้เสียหาย จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งเรียกร้องเงินค่ารถบรรทุกของจำเลยที่ 1ที่ขายให้โจทก์   ค่าตัวถังรถค่าเช่าซื้อรถที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ไปแล้ว ค่าขายซากรถที่คาดว่าจะขายได้และค่าสินไหมทดแทนซึ่งโจทก์ได้รับจากผู้รับประกันภัย  ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1ดังกล่าวเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม  จึงไม่มีเหตุที่จะรับคำฟ้องแย้งไว้พิจารณา
เมื่อศาลไม่รับพิจารณาคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีคำฟ้องแย้งที่จะบังคับเอาแก่จำเลยร่วมเหลืออยู่ต่อไปไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะร้องขอให้เรียกบริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑  ซึ่งเช่าซื้อรถของโจทก์นำไปให้ลูกจ้างขับในทางการที่จ้างแล้วชนกับรถคันอื่นโดยประมาททั้งสองฝ่าย  เป็นเหตุให้รถโจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย  จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงิน ๑๐๘,๒๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย  อ้างเหตุว่ารถที่ชนกันทั้งสองคัน  บริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย  จำกัด  ได้รับประกันภัยไว้โดยกำหนดจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยรถบรรทุกที่จำเลยที่ ๑  เช่าซื้อเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท  โจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยไปแล้วเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท  และขอรับรถที่จำเลยที่ ๑  เช่าซื้อพร้อมกับถังนำมันของจำเลยที่ ๑  คืนด้วย  ตัวรถขายได้ราคาไม่ต่ำกว่า๑๑,๐๐๐ บาท  ค่าตัวถังรถราคา ๕๕,๐๐๐ บาท  ค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑  ชำระให้โจทก์ไปแล้ว ๖๙,๑๘๐ บาท  เงินที่โจทก์ติดค้างจำเลยที่ ๑ อีก ๒๐,๐๐๐ บาท  รวมเป็นเงินที่โจทก์รับไป  ๓๙๔,๑๘๐ บาท  โจทก์จะต้องชำระคืนให้จำเลยที่ ๑  แต่จำเลยที่ ๑ยังค้างชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เพียง ๒๘๕,๙๐๐ บาท  เมื่อหักออกแล้วโจทก์จะต้องใช้เงินให้จำเลยที่ ๑ อีก ๑๐๘,๒๘๐ บาท  ส่วนบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย  จำกัด  ก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยที่ ๑ อีก ๑๕๐,๐๐๐ บาท  จำเลยที่ ๑  ขอให้เรียกบริษัทร.ส.พ. ประกันภัย  จำกัด  เข้ามาเป็นจำเลยร่วม  อ้างเหตุว่า จำเลยที่ ๑ ได้นำรถที่เช่าซื้อมาประกันภัยไว้กับบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด  ซึ่งบริษัทนี้ยังต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้อีกเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย  จำกัด  เข้ามาเป็นจำเลยร่วม  จำเลยที่ ๒  ให้กาปฏิเสธ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒  ศาลชั้นต้นอนุญาต  จำเลยที่ ๓  ขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง  อ้างเหตุว่าเพื่อจะไปแยกฟ้องเป็นคดีใหม่สำหรับความผิดของจำเลยแต่ละคนเพราะการที่ศาลพิจารณาคดีนี้รวมกัน  เป็นผลให้คดียุ่งยากสับสนและคดีจะยืดเยื้อเสียเวลามาก
จำเลยที่ ๑ ค้านว่า  โจทก์ทำให้จำเลยที่ ๑ เสียหาย  จำเลยที่ ๑  จึงได้ฟ้องแย้งและขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาต  และการพิจารณาคดีก็ไม่ยุ่งยาก  โจทก์รู้ว่าเสียเปรียบจำเลยในทางคดีจึงขอถอนฟ้องเพื่อฟ้องเป็นคดีใหม่  ทำให้จำเลยที่ ๑  เสียเปรียบ  ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและให้จำเลยที่ ๑  ฟ้องโจทก์และจำเลยร่วมเป็นคดีใหม่  จำหน่ายคดีจากสารบบความ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้พิจารณาคดีต่อไป
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาหลายขั้นตอนแล้ว  และจำเลยที่ ๑ ต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องกับปฏิเสธความรับผิดกรณีละเมิดหากอนุญาตให้ถอนฟ้องอาจทำให้จำเลยที่ ๑ เสียเปรียบ  ส่วนฟ้องแย้งมูลหนี้ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมและคดีสำหรับจำเลยร่วมก็เป็นมูลหนี้ที่เกี่ยวกับสัญญาประกันภัยมิได้ ฟ้องให้รับผิดร่วมกับโจทก์  ไม่เกี่ยวกับฟ้อเดิมเช่นกันจำเลยที่ ๑  ควรจะฟ้องโจทก์กับจำเลยร่วมเป็นอีกคดีหนึ่ง  พิพากษาแก้เป็นว่าเฉพาะจำเลยที่ ๑  ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินคดีต่อไปจนเสร็จสิ้น  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑  ฎีกาว่าฟ้องแย้งและคำขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย จำกัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม  ชอบด้วยกฎหมายแล้ว  ขอให้นัดสืบพยานต่อไป
ศาลฎีกาเห็นว่า  ที่ศาลล่างสองศาลมีคำสั่งต้องกันให้จำเลยที่ ๑  ไปฟ้องโจทก์และจำเลยร่วมเป็นคดีใหม่  โดยอาศัยเหตุที่ว่าคำฟ้องแย้งและคำร้องขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย  จำกัด  เข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมนั้นย่อมมีผลเป็นการเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องแย้งและที่ให้เรียกบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัยจำกัด  เข้ามาเป็นจำเลยร่วม  และที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้พิจารณาคดีต่อไป ก็เป็นการขอให้พิจารณาสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องและคำร้องขอให้เรียกบริษัทร.ส.พ. ประกันภัย  จำกัด  เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั่นเอง
กรณีฟ้องแย้ง  ปรากฏว่าจำนวนเงินที่เรียกร้องราย ๒๐,๐๐๐ บาท คำฟ้องแย้งกล่าวว่าเป็นเงินค่ารถบรรทุกของจำเลยที่ ๑  ที่ขายให้โจทก์  โจทก์ยังชำระราคาให้จำเลยไม่ครบคำฟ้องแย้งนี้จึงเป็นเรื่องเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่ารถที่ค้างตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม  ส่วนจำนวนเงินค่าตัวถังรถ ๕๕,๐๐๐ บาท  ค่าเช่าซื้อรถที่จำเลยที่ ๑ ชำระให้แก่โจทก์ไปแล้ว๖๙,๑๘๐ บาท ค่าขายซากรถ ๑๐๐,๐๐๐ บาท  ซึ่งคาดว่าจะขายได้และค่าสินไหมทดแทนซึ่งโจทก์ได้รับจากผู้รับประกันจำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท  ที่จำเลยที่ ๑ เรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าว  เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องโดยอ้างสิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑มิใช่เนื่องมาจากมูลละเมิดในเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้อง  คำฟ้องแย้งเรียกเงินทั้ง ๔รายการเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมอีกเช่นกัน  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะรับคำฟ้องแย้งไว้พิจารณา
กรณีจำเลยที่ ๑  ขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย  จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น  ปรากฏตามคำให้การและคำร้องของจำเลยที่ ๑ ว่า  รถที่จำเลยที่ ๑เช่าซื้อมาและเอาประกันภัยไว้กับบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย  จำกัด  ซึ่งผู้รับประกันภัยยังคงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยที่ ๑  ผู้เอาประกันภัยอยู่อีก๑๕๐,๐๐๐ บาท  ถ้าจำเลยที่ ๑  จะฟ้องผู้รับประกันภัยเรียกเงินจำนวนนี้เป็นอีกคดีหนึ่ง  ก็ย่อมจะยุ่งยากจึงขอให้เรียกมาเป็นจำเลยร่วมเพื่อความสะดวกและคดีจะได้เสร็จไปในคราวเดียวกัน  ซึ่งตามคำร้องของจำเลยที่ ๑ เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑  ประสงค์จะเรียกร้องเอาแก่บริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด  โดยอาศัยคำฟ้องแย้งเป็นมูล  เมื่อศาลไม่รับพิจารณาคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑  แล้วเช่นนี้ จึงไม่มีคำฟ้องแย้งที่จะบังคับเอาแก่บริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย  จำกัด  เหลืออยู่ต่อไปจึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ ๑ จะร้องขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
พิพากษายืน

