คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่รื้อถอนตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต่อมาจำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ในขณะที่อยู่ระหว่างการใช้พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารพุทธศักราช 2479ซึ่งตามมาตรา 11ทวิ โจทก์ไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่ผู้ปลูกสร้างอาคารตามมาตรา11 รื้อถอนอาคารพิพาทได้แม้ต่อมากฎหมายนี้จะถูกยกเลิกและใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แทนซึ่งมาตรา 40 ประกอบด้วยมาตรา 42 ให้อำนาจโจทก์สั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารนั้นได้ก็จะนำมาใช้กับจำเลยที่ 1 อันเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังที่มีผลเสียหายแก่จำเลยที่ 1ซึ่งมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารพิพาทไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1รื้อถอนอาคารพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2519 จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ปลูกสร้างตึกแถวห้าชั้นและสี่ชั้นบนที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามแบบแปลนซึ่งจะต้องเว้นช่องว่างเป็นทางเดินหลังตึกแถวกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดแนวตึกแถวโดยปราศจากสิ่งปกคลุม จำเลยที่ 2 ได้ปลูกสร้างตึกแถวผิดไปจากแบบแปลนที่โจทก์อนุญาตคือต่อเติมอาคารปกคลุมทางเดินหลังตึกแถวห้าชั้นโดยเฉพาะเลขที่ 281/4 โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น และเจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้เพราะเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พุทธศักราช 2479 มาตรา 11 ทวิซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2504 กฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2512) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พุทธศักราช 2479 ข้อ 5, 7 และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 76(1) ที่ว่าอาคารที่พักอาศัยแต่ละหลังให้มีที่ว่างสามสิบในร้อยส่วนของพื้นที่ และข้อ 76(4) ที่ว่า อาคารพาณิชย์จะต้องมีที่ว่างโดยปราศจากสิ่งปกคลุมเป็นทางเดินด้านหลังอาคารได้ถึงกันกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร วันที่ 1 พฤษภาคม 2521 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบการกระทำดังกล่าว หัวหน้าเขตบางรักปฏิบัติราชการแทนโจทก์ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างเชื่อมต่อจากอาคารที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างออกไป จำเลยที่ 2เพิกเฉยวันที่ 22 มิถุนายน 2521 หัวหน้าเขตบางรักได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจำเลยที่ 2 รับสารภาพและถูกเปรียบเทียบปรับแล้ว ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม 2521 จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวเลขที่ 281/4 จากจำเลยที่ 2 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างเชื่อมต่อกับตึกแถวเลขที่ 281/4 ออก จำเลยที่ 1 เพิกเฉยและมิได้อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมออกไปจากตึกแถวเลขที่ 281/4 ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนเองได้ตามมาตรา 40, 41, 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาหาร พ.ศ. 2522 โดยให้จำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่าย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดตามกฎหมายเก่าซึ่งโจทก์ได้ดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 ไปแล้ว จำเลยท่ 1 มิได้ก่อสร้างต่อเติมและดัดแผลงอาคารตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ซื้ออาคารมาจากจำเลยที่ 2ในขณะที่อาคารได้เสร็จเรียบร้อยแล้วในสภาพที่โจทก์อ้างว่าผิดกฎหมายอาคารของจำเลยที่ 1 มั่นคงแข็งแรง ไม่มีลักษณะที่อาจจะเป็นภยันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ชีวตทรัพย์สิน ไม่มีลักษณะที่อาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยหรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งไม่ขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งรื้ออาคารของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมเพราะโจทก์อนุญาตให้ปลูกสร้างโดยโจทก์เองเป็นฝ่ายสำคัญผิด

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนอาคารที่ต่อเติมออกจากตึกแถวเลขที่281/4 ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ยอมรื้อถอน ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำลยที่ 1 เสียค่าใช้จ่ายยกฟ้องจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะจำเลยที่ 2 โอนอาคารพิพาทให้จำเลยที่ 1 นั้นอยู่ระหว่างการใช้บังคับตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พุทธศักราช 2479 กฎหมายฉบับนี้ตามมาตรา 11 ทิว ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2504 โจทก์ไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่ผู้ปลูกสร้างอาคารตามมาตรา 11 ที่แก้ไขแล้วรื้อถอนอาคารพิพาทได้ แม้ต่อมากฎหมายนี้จะถูกยกเลิกและใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แทน ซึ่งกฎหมายนี้ตามมาตรา 40 ประกอบด้วยมาตรา 42 จะให้อำนาจโจทก์ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารนั้นได้ ก็จะนำมาใช้กับจำเลยที่ 1 อันเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังที่มีผลเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารพิพาทไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนอาคารตามฟ้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย

Share