คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 มาตรา 10มิได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เมื่อปรากฏว่าผู้ใดมีสิ่งซึ่งต้องห้าม หรือสิ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสิ่งกำกัดหรือเป็นสิ่งลักลอบหนีศุลกากรไว้ในครอบครอง ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นได้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร หากแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบเห็นข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานข้อแรก ส่วนข้อสันนิษฐานว่าผู้มีสิ่งนั้นไว้ในความครอบครองเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบ นั้น เป็นเพียงผลที่สืบเนื่องจากข้อสันนิษฐานข้อแรกนั้น
ข้อเท็จจริงที่จะจดแจ้งไว้ในบันทึกตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยาน พฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่าผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจจดแจ้งไว้แต่ว่าตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลยค้นพบสิ่งของบรรจุอยู่ในกระสอบ ได้สอบถามจำเลยจำเลยว่ารับฝากไว้จากชายไม่ทราบชื่อบรรทุกรถมา 3 คัน ตอนเช้าวันนั้นเอง ตำรวจสงสัยว่าเป็นสินค้าที่หลบหนีศุลกากร จึงยึดสินค้าและคุมตัวจำเลยมาดำเนินคดีเพียงเท่านี้ย่อมไม่มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานตามมาตรา 10 ที่กล่าวนั้น และเมื่อเป็นดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยร่วมกับผู้อื่นนำสินค้าเหล่านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ก็ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะลงโทษจำเลยได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอให้ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อหา
ถ้าศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมาย จึงมิได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ คงวินิจฉัยแต่ของจำเลย แล้วฟังว่าจำเลยมีความผิดลงโทษจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย แต่ก็นำเอาข้อสันนิษฐานนั้นมาประกอบด้วย แล้วจึงฟังว่าจำเลยมีความผิดและพิพากษายืน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีแห่งคดีนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมาย และเห็นว่าศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง แต่พึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบมาแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้และจำเลยที่ศาลลงโทษไปแล้วตามคดีแดงที่ 627/2505 กับพวกได้ร่วมกระทำความผิดสมคบกันนำสินค้าพุทราจีน ลูกพลับแห้ง ดอกไม้จีน เป๋าฮื้อ และพริกไทยขาว รวมราคา 357,780 บาทซึ่งยังมิได้เสียภาษีศุลกากร เป็นเงินอากรที่จะต้องเสีย 348,648 บาท เข้ามาในราชอาณาจักรโดยนำมาทางทะเล และลักลอบนำขึ้นบก ณ ชายทะเลอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้วจำเลยกับพวกสมคบร่วมกันนำสินค้าดังกล่าวบรรทุกรถยนต์ไปเก็บซ่อนไว้ที่โกดังเอี่ยมยิ่งพาณิชย์ ตำบลช่องนนทรี อำเภอยานนาวา จังหวัดพระนคร ซึ่งเป็นโกดังที่จำเลยเป็นผู้จัดการดูแลรักษาสินค้าสินค้าดังกล่าวเป็นอาหารอันเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยจำเลยกับพวกมิได้รับอนุญาต กับมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้อง ทั้งนี้ โดยจำเลยกับพวกเจตนาหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัดทั้งปวงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17 (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 13 พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ พ.ศ. 2482 มาตรา 3, 9 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ฯลฯ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่า สินค้าของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลยและเห็นว่าพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 10 บัญญัติว่าบุคคลใดมีไว้ในครอบครองซึ่งของต้องห้ามหรือของซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นของต้องจำกัดหรือเป็นของลักลอบหนีศุลกากรจะถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้นำของนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากรแล้วแต่กรณี ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างอื่น จำเลยอ้างว่าได้รับฝากไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของหนีภาษี จำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายแต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบนั้นหักล้างไม่ได้ ย่อมมีความผิดฐานนำสินค้าต้องห้ามและหลบหนีภาษีศุลกากรเข้ามา ตามบทมาตราที่โจทก์อ้างให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ ซึ่งเป็นบทหนัก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

1. พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 10ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบเห็น ข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานข้อแรก ส่วนข้อสันนิษฐานว่าผู้ที่มีสิ่งนั้น (สิ่งซึ่งต้องห้าม หรือสิ่งซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสิ่งต้องกำกัดหรือเป็นสิ่งลักลอบหนีศุลกากร) ไว้ในครอบครอง เป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากรนั้น เป็นเพียงผลที่สืบเนื่องจากข้อสันนิษฐานข้อแรกนั้น ดังนี้ จึงมีปัญหาต่อไปว่าข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกควรจะมีอะไรบ้างเมื่อพิจารณาระเบียบปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12)พ.ศ. 2497 ประกอบด้วยแล้ว ก็เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นอย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่าผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร

2. คดีนี้ โจทก์นำสืบแสดงบันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจฉบับหนึ่งข้อความที่จดแจ้งไว้มีใจความแต่ว่า ตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลยค้นพบสิ่งของดังที่กล่าวในฟ้องบรรจุอยู่ในกระสอบ ได้สอบถามจำเลยจำเลยว่ารับฝากไว้จากชายไม่ทราบชื่อ บรรทุกรถมา 3 คันตอนเช้ามืดวันที่ 15 มกราคม 2505 ตำรวจสงสัยว่าเป็นสินค้าที่หลบหนีศุลกากรจึงยึดสินค้าและคุมตัวจำเลยเพื่อดำเนินคดี ดังนี้ บันทึกนั้นจึงมีลักษณะเป็นเพียงบันทึกการตรวจค้นจับกุมอย่างในคดีอื่น ๆ ทั่วไปไม่มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามมาตราที่กล่าวข้างต้น ดังนั้น เรื่องหน้าที่นำสืบก็ดี การวินิจฉัยพยานหลักฐานก็ดี ย่อมเป็นไปตามหลักที่ใช้ทั่วไปแก่คดีอาญาทั้งปวง คือ โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยและจะลงโทษจำเลยได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอให้ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อหา

3. ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายจึงมิได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์คงวินิจฉัยแต่ของจำเลยฝ่ายเดียว แล้วฟังว่าจำเลยมีความผิด ส่วนศาลอุทธรณ์แม้จะได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย แต่ก็นำเอาข้อสันนิษฐานของกฎหมายมาประกอบด้วยแล้วจึงฟังว่าจำเลยมีความผิดเมื่อศาลฎีกาเห็นว่า กรณีแห่งคดีนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมายและเห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างทั้งสอง แต่พึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบกันมาแล้ว

เมื่อได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริง เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยร่วมกระทำผิดดังที่โจทก์กล่าวหา จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share