แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จับจองที่พิพาทและได้ขอคำรับรองการทำประโยชน์จากนายอำเภอภายในกำหนด 180 วันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 แล้ว แต่นายอำเภองดเสียเองเพราะเหตุนอกเหนือประมวลกฎหมายที่ดินนั้น จะถือว่าที่พิพาทปลอดจากการจับจองเพราะโจทก์มิได้ขอคำรับรองว่าทำประโยชน์แล้วตามมาตรา 7 มิได้
แม้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทที่ต้องเวนตืนจะมาเป็นของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่วันใช้บังคับพระราชบัญญัติเวนคืนแล้วก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่จะมีสิทธิเข้าครอบครองที่พิพาทนั้นได้ก็ต่อเมื่อได้ใช้หรือวางเงินค่าทดแทนแล้ว หากยังไม่ได้ใช้หรือวางเงิน ก็จะอ้างว่าครอบครองได้สิทธิแล้วหาได้ไม่.
ย่อยาว
คดี ๓ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษารวมกันมา โดยโจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินริมทางหลวงสายนครราชสีมาปักธงไชย โดยการจับจอง ตั้งแต่ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ และได้ทำประโยชน์แล้ว วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๙๗ โจทก์ขอขึ้นทะเบียนรับรองการทำประโยชน์ นายอำเภอสั่งงดไว้ก่อนเพราะอยู่ในเขตที่จำเลยจะขยายสนามบินโจทก์ครอบครองต่อมาแล้วมีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลนองจะบก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.๒๔๙๘ แต่ไม่มีรายชื่อโจทก์ในบัญชีเจ้าของที่ดินที่เวนคืน จำเลยตกลงกับโจทก์ไม่ได้ในจำนวนค่าทำขวัญ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ จำเลยบุกรุกเข้าปักหลักเขตหวงห้าม จึงขอให้ศาลพิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าถือสิทธิในที่พิพาท
จำเลยให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ไม่ขอใบรับรองการทำประโยชน์ภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายที่ดินจึงไม่มีสิทธิครอบครอง จำเลยเจรจาเกี่ยวกับค่าก่นสรางกับโจทก์โดยหลักศีลธรรม คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ขาดอายุความ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแบบ ๓ ใบรับรองการทำประโยชน์ภายในอายุใบเหยียบย่ำ แต่นายอำเภอสั่งงดการขึ้นทะเบียนเพราะจำเลยจะทำสนามบินจะว่าโจทก์ไม่ขอใบรับรองเกิน ๑๘๐ วันตามประมวลกฎหมายที่ดินจึงหมดสิทธิจับจองตามมาตรา ๗ ไม่ได้ โจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่ โจทก์ฟ้องขอห้ามได้ จึงพิพากษาว่าที่พิพาทโจทก์เป็นเจ้าของ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ และโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทแล้ว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว คดีได้ความดังที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาว่าโจทก์ได้รับจองที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๙๙ โดยมีใบเหยียบย่ำและได้ทำประโยชน์แล้วตามกำหนดใน ๒ ปี แต่เมื่อโจทก์ขอใบรับรองการทำประโยชน์ นายอำเภอในครั้งนั้นกลับสั่งงดไม่ขึ้นทะเบียนให้ เหตุที่งดก็ไม่ใช่เพราะโจทก์มิได้ทำประโยชน์ในที่ดินโดยถูกต้อง แต่งดเพราะว่าจำเลยจะขยายเขตสนามบินต่อจากนั้นก็มีการเจรจาค่าทดแทนกันตลอดมา ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้ขาดสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่ประการใด จำเลยจะถือว่าที่พิพาทปลอดจากการจับจองเพราะโจทก์มิได้ขอคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้วภายใน ๑๘๐ วันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ หาได้ไม่ เพราะโจทก์ได้ขอคำรับรองไว้โดยชอบแล้ว แต่อำเภองดเสียเอง เพราะเหตุนอกเหนือประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยทำคำแถลงในชั้นฎีกาว่า ได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนที่พิพาทเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๘ ซึ่งมีผลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๑๐ ว่า แม้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ต้องเวนคืนจะตกมาเป็นของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่วันใช้บังคับพระราชบัญญัติเวนคืนก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่จะมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้ต่อเมื่อได้ใช้เงินหรือวางเงินค่าหอแทนตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินั้นแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายดำเนินการเพื่อเข้าครอบครองที่พิพาทตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนดังกล่าวแล้ว จำเลยจะอ้างได้อย่างไรว่าตนทำละเมิดหรือเข้าแย่งการครอบครองที่ดินของเอกชนเช่นโจทก์เหล่านี้ คดีจึงไม่ขาดอายุความ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่จำเลยเข้าถากถางปรับที่เป็นการกระทำไปพลางก่อนโดยยังเคารพสิทธิของโจทก์อยู่ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ชอบด้วยรูปคดีแล้วจำเลยจะมีสิทธิเข้าครอบครองที่พิพาทได้ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติการครบถ้วนดังที่มาตรา ๑๐ บัญญัติไว้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.