คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามใบสำคัญที่จำเลยยึดมาจากโรงงานอุตสาหกรรมของโจทก์แสดงว่าโจทก์ได้รับเงินค่าขายเครื่องดื่มพิพาทในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน (เว้นแต่เดือนเมษายน)2528 จำนวน 889,399 ขวดและในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ซื้อแสตมป์จากจำเลยเพื่อปิดแสดงการชำระภาษี 600,000 ดวง โดยปิดที่ขวดเครื่องดื่ม ขวดละ 1 ดวงเมื่อโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าจำนวนขวดที่ปรากฏในเอกสารที่จำเลยยึดมาจากโรงงานอุตสาหกรรมของโจทก์เป็นการเจ็บหนี้เก่าของโจทก์อยู่ด้วย จึงต้องฟังว่าเครื่องดื่มพิพาทที่โจทก์นำออกจากโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 289,399 ขวด โจทก์มิได้เสียภาษีสรรพสามิตก่อนนำออกจากโรงงานอุตสาหกรรมตามที่ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527มาตรา 10 กำหนดไว้ เอกสารที่โจทก์อ้างเป็นภาพถ่าย โดยโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเหตุที่อ้างส่งต้นฉบับหรือคู่ฉบับไม่ได้เพราะเหตุใด เอกสารที่โจทก์อ้างจึงต้องห้ามมิให้รับฟังดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 93.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานของจำเลยและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยประเมินและมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีสรรพสามิตเป็นเงิน935,821.15 บาท ซึ่งเป็นการประเมินและสั่งโดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งประเมินและเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตจากโจทก์
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบมานั้นฟังได้ต้องกันว่า โจทก์ผลิตเครื่องดื่มยี่ห้อกระดิ่งทองจำหน่าย โดยเครื่องดื่มของโจทก์จะต้องเสียภาษีสรรพสามิต โดยวิธีปิดแสตมป์สรรพสามิต เจ้าพนักงาของจำเลยมีเหตุสงสัยว่าโจทก์เสียภาษีสรรพสามิตไม่ครบถ้วน จึงได้ไปทำการตรวจสอบผลการตรวจสอบเจ้าพนักงานของจำเลยพบว่าโจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้อง จึงได้ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีสรรพสามิตพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีเพิ่มมหาดไทย โจทก์คัดค้านการประเมินต่ออธิบดีแต่ถูกยกคำคัดค้านโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาให้แก้การประเมินของเจ้าพนักงาน โดยวินิจฉัยว่าเครื่องดื่มของโจทก์จำนวน 289,399 ขวด เป็นเครื่องดื่มที่โจทก์นำออกจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยไม่เสียภาษี (ไม่ปิดแสตมป์เครื่องดื่ม)ให้โจทก์ชำระภาษีเป็นเงิน 935,821.15 บาท ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์จึงมีว่า เครื่องดื่มจำนวนดังกล่าวนั้น โจทก์ผลิตและนำออกจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยมิได้เสียภาษีสรรพสามิตหรือไม่
พิเคราะห์พยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายในปัญหานี้แล้ว จำเลยมีใบสำคัญรับที่ยึดมาจากโรงงานอุตสาหกรรมของโจทก์เอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 100-129 แสดงว่าโจทก์ได้รับเงินขายเครื่องดื่มกระดิ่งทองในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน (เว้นแต่เดือนเมษายน)2528 จำนวน 889,399 ขวด และปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นโจทก์ซื้อแสตมป์จากจำเลยเพื่อปิดแสดงการชำระภาษี 600,000 ดวงตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 132 โจทก์มิได้นำสืบหักล้างในเรื่องจำนวนขวดและจำนวนแสตมป์ตามที่ปรากฏในเอกสารทั้งสองกรณีนั้นคงอ้างเหตุผลโต้แย้งขึ้นมาในฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่100-129 นั้น จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าโจทก์ผลิตเครื่องดื่มออกไปจากโรงงานอุตสาหกรรมตามจำนวนดังกล่าวและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมานั้นฟังได้ว่า จำนวนขวดของเครื่องดื่มที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวนั้น มิใช่สินค้าที่ขายในเดือนดังกล่าวทั้งหมด แต่เป็นการเก็บหนี้ค่าสินค้าเก่าที่โจทก์ขายในปี พ.ศ. 2527 บางส่วน เห็นได้ว่าข้ออ้างของโจทก์ในประการหลังเป็นข้ออ้างที่เป็นการยอมรับอยู่ในตัวว่า จำนวนขวดที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 100-129 นั้นเป็นสินค้าเครื่องดื่มของโจทก์ที่ทำเองจากโรงงานอุตสาหกรรมเหตุผลที่ยกขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งของโจทก์ในประการแรกจึงเป็นอันตกไปคงเหลือข้อโต้แย้งที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปในประการหลังที่ว่าจำนวนขวดที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่100-129 นั้น เป็นการเก็บหนี้เก่าของโจทก์อยู่ด้วยหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์นำสืบโดยอ้างใบเบิกสินค้า เอกสารหมาย จ.11, 14, 16, 18, 20, 22, 24, 26,28, 30 และสำเนาใบส่งสินค้าและใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมายจ.12, 13, 15, 17, 19, 21, 23, 25, 27, 29 ซึ่งเอกสารที่โจทก์อ้างดังกล่าวทั้งหมดเป็นภาพถ่ายโดยโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเหตุที่อ้าง ส่งต้นฉบับหรือคู่ฉบับไม่ได้เพราะเหตุใด ดังนั้นเอกสารที่โจทก์อ้างนี้จึงต้องห้ามมิให้รับฟังดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ข้อนำสืบของโจทก์ที่จะแสดงให้เห็นว่าจำนวนขวดที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่100-129 มีจำนวนขวดที่เก็บหนี้ค้างในปี พ.ศ. 2527 รวมอยู่ด้วยก็คงมีแต่คำของนายธีระ ผู้จัดการฝ่ายขายของโจทก์ปากเดียว ซึ่งคำเบิกความของนายธีระนั้นก็เบิกความโดยอ้างเอาเอกสารหมายจ.11 ถึง จ.30 ซึ่งได้วินิจฉัยแล้วว่ารับฟังเป็นพยานไม่ได้มิได้มีข้อเท็จจริงให้เห็นเลยว่าลูกหนี้ที่ค้างชำระไว้ในปี พ.ศ.2527และนำมาชำระในปี พ.ศ. 2528 นั้น เป็นใคร อยู่ที่ไหนแต่ละรายมีจำนวนเท่าใด ซึ่งถ้ามีการนำหนี้ที่ค้างมาชำระจริง นายธีระในฐานะผู้จัดการฝ่ายขายก็ต้องรู้บ้างว่าลูกค้าของตนนั้นเป็นใครอยู่ที่ไหน และเป็นที่เห็นว่าถ้าเป็นจริงดังนั้นก็สามารถที่จะนำบุคคลเหล่านั้นมายืนยันข้อเท็จจริงให้เห็นได้โดยไม่ยาก แต่พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เห็นเลย ทำให้ข้ออ้างดังที่สืบนั้นเลื่อนลอยไร้เหตุผลที่จะฟังได้ นอกจากนั้นในเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 100-129 นั้นไม่มีข้อความใดระบุให้เห็นว่าจำนวนเท่าใดเป็นการชำระค่าสินค้าที่ค้างในปีก่อน ยิ่งกว่านั้นตามงบดุลประจำปี 2522 และ 2527ของโจทก์ที่ยื่นต่อกระทรวงพาณิชย์ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 96นั้น ไม่ปรากฏรายการในงบดุลเลยว่าโจทก์มีลูกหนี้ค้างชำระแต่ประการใดดังนั้นข้ออ้างของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ ส่วนเครื่องดื่มที่โจทก์นำจากโรงงานจำนวน ที่กล่าวนั้นได้ปิดแสตมป์ หรือไม่ ข้อเท็จจริงออกปรากฏให้เห็นชัดเจนคือ เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 108 อันเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นเอง มีข้อความระบุชัดแจ้งว่าไม่มีอากร และเอกสารในชุดนี้ก็มีข้อความระบุว่ามี เอ และไม่มี เอ ซึ่งนายธีระอ้างว่าหมายถึงมีรางวัลและไม่มีรางวัลข้ออ้างของนายธีระดังกล่าวก็ขัดกับเอกสารชุดนี้เอง ซึ่งมีบางแผ่นระบุว่ามีรางวัลมีแก้ว ถ้าคำว่ามี เอไม่มี เอ หมายถึงมีรางวัลและไม่มีรางวัลแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดในเอกสารชดนี้ในแผ่นอื่นจะเขียนคำว่ามีรางวัลไว้ จากคำเบิกความของนายสณทรรศน์ก็ได้ความว่า ในขณะที่รับราชการในตำแหน่งนักวิชาการสรรพสามิตนั้น เหตุที่ไปตรวจสอบการเสียภาษีของโจทก์ก็จากเหตุที่ว่าได้ตรวจพบเครื่องดื่มกระดิ่งทองที่จำหน่ายไม่ปิดแสตมป์ และยังได้รับแจ้งจากทางสรรพาสามิตจังหวัดว่าพบเครื่องดื่มกระดิ่งทองไม่ติดแสตมป์ และบางจังหวัดก็ได้ดำเนินคดีกับผู้ขายไปแล้ว เมื่อพิจารณาเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวประกอบกับพฤติการณ์ของโจทก์ที่มิได้มีการจัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จึงเชื่อได้ว่าเครื่องดื่มกระดิ่งทองที่โจทก์นำออกจากโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 289,399 ขวดนั้นโจทก์มิได้เสียภาษีสรรพสามิต ก่อนนำออกจากโรงงานอุตสาหกรรมตามที่พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 มาตรา 10 กำหนดไว้เจ้าพนักงานประเมินประเมินให้โจทก์เสียภาษีและเบี้ยปรับในส่วนนี้ได้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share