แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางที่จำเลยปิดกั้นเป็นทางคันลำกระโดงสวนในที่ดินของจำเลย ซึ่งโจทก์เจ้าของที่ดินอีกแปลงหนึ่งได้ใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะ เป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 30 ปีก็ตามแต่เมื่อโจทก์เบิกความว่า โจทก์เดินมาโดยถือวิสาสะกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวเจ้าของที่ดิน และพยานโจทก์ปากอื่นก็เบิกความว่า ที่โจทก์เดินผ่านก็โดยอาศัยความคุ้นเคยกันดังนี้ โจทก์จะเถียงว่าเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์หาได้ไม่ เมื่อจำเลยซื้อที่ดินนั้นมาแล้ว และจำเลยได้ทำทางขึ้นใหม่แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้ทางที่จำเลยทำขึ้นใหม่นี้โดยปรปักษ์ แต่นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินมีโฉนด 1 แปลงซึ่งอยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดของโจทก์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วจำเลยได้แบ่งแยกจัดสรรเป็นแปลงเล็ก ๆ ขายให้บุคคลอื่นคงเหลือเป็นที่ดินของจำเลยกว้าง 8.90 เมตร และอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์กับพวก ที่ดินของโจทก์กับพวกถูกที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นล้อมรอบทุกด้านไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และบริวารได้ใช้ที่ดินของจำเลยกว้าง 1.50 เมตร ยาว 8.00 เมตร เป็นทางเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์เป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว แต่เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2501 จำเลยใช้บริวารนำสังกะสีมาปิดกั้นทางภารจำยอมดังกล่าว โจทก์ทั้งสองกับพวกจึงไม่อาจใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ ทำให้โจทก์ไม่อาจนำพืชผลไม้ออกไปขายได้ตามปกติขาดรายได้วันละ 200 บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยเลิกปิดกั้นแล้วจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินของจำเลยซึ่งกว้าง1.50 เมตร ยาว 8.00 เมตร เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ให้จำเลยรื้อสังกะสีที่ปิดกั้น ห้ามรบกวนการใช้สิทธิภารจำยอมของโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะทั้งทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และไม่มีทางภารจำยอมในที่ดินของจำเลย เมื่อจำเลยทำถนนส่วนบุคคลเพื่อจัดสรรขายที่ดินที่แบ่งแยก โจทก์จะขออาศัยทางเดินและจะให้คนเช่าที่ดินของโจทก์เดินจำเลยไม่ยอม จึงหาเหตุมาฟ้องจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเสียหายสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์มีอำนาจฟ้อง ที่ดินของจำเลยตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ แต่ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย พิพากษาว่าที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 9749 ซึ่งแยกจากโฉนดที่ 874 เป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ 1898 ของโจทก์ ให้จำเลยรื้อรั้วเปิดทางเดินให้โจทก์เดินผ่านที่ดินของจำเลยแปลงนี้ไปออกทางด้านตรงข้ามได้ตลอดแนวเขตกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร คำขอนอกจากนี้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้ใช้คันลำกระโดงในที่ดินโฉนดที่ 874 เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 ปีมาแล้ว แต่โจทก์ใช้โดยถือวิสาสะหรือความคุ้นเคยมาแต่ครั้งโฉนดที่ 874 ของจำเลยยังเป็นของนางลอยโดยฉันมิตรไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 9749 ซึ่งแยกมาจากโฉนดที่ 874 ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ 1898 หรือไม่
ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาโดยไม่มีฝ่ายใดโต้เถียงมีว่าที่ดินโฉนดที่ 1989 ทางด้านทิศใต้ติดกับที่ดินโฉนดที่ 874 ที่โจทก์กับพวกเดินออกจากที่ดินโฉนดที่ 1898 เข้าออกสู่ทางสาธารณะนั้น ได้เดินผ่านลำกระโดงสวนในที่ดินโฉนดที่ 874 และคั้นลำกระโดงของนายคลี่ อื้อฉาว และคันลำกระโดงสวนของนายแหยม คล้อยพึ่งอาจเป็นเวลาติดต่อกันมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี เมื่อจำเลยและนางอุไรซื้อที่ดินโฉนดที่ 874 มาแล้ว จำเลยและนางอุไรได้แบ่งที่ดินโฉนดที่ 874 ออกเป็นแปลงเล็ก ๆ จัดสรรขายให้แก่บุคคลอื่น และได้ทำทางเดินระหว่างที่ดินโฉนดที่ 874 กับที่ดินโฉนดที่ 629 ของนายคลี่ขึ้นและให้ชื่อว่า ซอยปรึกษาธรรม และใช้ทางที่ทำขึ้นนี้เชื่อมต่อที่ดินของบุคคลอื่นออกสู่ซอยร่วมพัฒนาและถนนจรัญสนิทวงศ์ที่ทำทางขึ้นโดยใช้ดินถมตามแนวคันลำกระโดงสวน โจทก์กับพวกได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเดินออกจากที่ดินโฉนดที่ 1898 ของโจทก์สู่ทางสาธารณะ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2511 จำเลยได้ใช้รั้วสังกะสีปิดกั้นทางเดินระหว่างที่ดินจำเลยและโจทก์ที่ติดต่อกันไม่ให้ใช้ทางเดินที่จำเลยทำขึ้นนั้น เห็นว่า ทางที่จำเลยปิดกั้นนี้แม้เป็นทางคันลำกระโดงสวนในที่ดินโฉนดที่ 874 ซึ่งโจทก์อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 1898 ได้ใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 30 ปีก็ตาม แต่ตามคำเบิกความของโจทก์ที่ 2 ว่าทางเดินบนคันลำกระโดงสวนใช้เดินมาโดยการถือวิสาสะกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวแก่เจ้าของที่ดิน นายเต็ม แขเขียว พยานโจทก์ซึ่งเป็นสามีนางลอย แขเขียว ผู้ที่ขายที่ดินโฉนดที่ 874 ให้จำเลยก็เบิกความว่า ที่โจทก์เดินผ่านที่ดินแปลงที่ขายให้แก่จำเลยก็อาศัยความคุ้นเคยกันทั้งไม่ให้ทุกคนใช้เดินด้วย และนายคลี่พยานโจทก์ก็เบิกความว่าที่โจทก์เดินผ่านที่ดินของนางลอยซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยในขณะนี้ก็โดยอาศัยความคุ้นเคยกัน เมื่อได้ความจากพยานโจทก์เบิกความเช่นนี้ จึงฟังได้ว่า เมื่อที่ดินโฉนดที่ 874 ของจำเลยตั้งแต่ครั้งยังเป็นของนายลอย แขเขียว อยู่นั้น โจทก์เดินผ่านคันลำกระโดงในโฉนดที่ 874 ได้ก็โดยถือวิสาสะหรือความคุ้นเคยโดยฉันมิตรโจทก์จะเถียงว่าเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์นั้นรับฟังไม่ขึ้น จำเลยได้ถมทำทางขึ้นใหม่เมื่อจำเลยซื้อที่ดินมาแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2506 แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้ทางที่จำเลยทำขึ้นใหม่โดยปรปักษ์ แต่นับถึงวันฟ้องคดียังไม่ถึง 10 ปี ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ 1898
พิพากษายืน