แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างอยู่กินด้วยกันเกิดสินสมรสหลายอย่าง โจทก์ขอแบ่งจากจำเลยครึ่งหนึ่ง เท่ากับโจทก์กล่าวอ้างว่าทรัพย์สินที่เรียกว่าสินสมรสนั้นโจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลย แม้การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นโมฆะ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยมีทรัพย์สินเกิดขึ้นจากการทำมาหากินร่วมกันแล้ว โจทก์จำเลยย่อมเป็นเจ้าของรวมโจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งจากจำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างอยู่กินด้วยกันเกิดสินสมรสหลายรายการ จำเลยไม่ตามไปอยู่ร่วมกับโจทก์ กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ด้วยการดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ไม่ดูแลเรื่องอาหารการกิน เล่นการพนันเป็นอาจิณ จำหน่ายและขนย้ายทรัพย์สินไปจนโจทก์ไม่สามารถอยู่ร่วมกับจำเลยได้ ขอบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยไม่ยอมไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์หลอกลวงให้จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ในขณะที่โจทก์มีคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจึงตกเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่มีอยู่ก่อนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ซึ่งจำเลยได้ขายไปหมดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ โจทก์มีคู่สมรสอยู่ การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ แต่มีทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน โจทก์มีสิทธิขอแบ่งจากจำเลยในฐานะเจ้าของร่วมได้พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๑๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน แต่โจทก์ออกเงินน้อยกว่าจำเลย จึงมีสิทธิเป็นเจ้าของตามส่วนที่ออกเงิน พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน ๖๙,๕๐๐ บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยข้อแรกที่ว่า คำฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาในเรื่องขอหย่าและขอแบ่งสินสมรส มิได้ตั้งรูปคดีมาในเรื่องหุ้นส่วนหรือกรรมสิทธิ์รวม จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในระหว่างอยู่กินได้นั้น โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นสามีจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างอยู่กินด้วยกันเกิดสินสมรสหลายอย่างโจทก์ขอแบ่งจากจำเลยครึ่งหนึ่งเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างว่าทรัพย์สินที่เรียกว่าสินสมรสนั้น โจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลย หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมทำมาหากินกับจำเลยและมีทรัพย์สินเกิดขึ้นจากการทำมาหากินร่วมกันแล้ว โจทก์จำเลยย่อมเป็นเจ้าของรวมโจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งจากจำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมได้ แต่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อทรัพย์สินเองทั้งสิ้นโดยโจทก์มิได้ออกด้วยจำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับการขอแบ่งทรัพย์จากจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์