คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า บิดามารดาจำเลยอาศัยที่พิพาทปลูกโรงเรือนมาตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นของตายายโจทก์ แล้วต่อมาเมื่อที่ตกเป็นของโจท์โดยทางมฤดก จำเลยก็ยังอาศัยสืบต่อมา ดังนี้ ไม่จำต้องระบุวัน เดือน ปีที่ว่าบิดามารดาจำเลยและตัวจำเลยอาศัย ก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องอ้างเหตุอาศัยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ ศาลต้องพิจารณาว่าจำเลยอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของหรือผู้อาศัย หาได้พิพาทกันในเรื่องสิทธิอาศัยตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉะบับที่ 2) พ.ศ. 2459 ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของนายสอนนางกล่ำตายายโจทก์ได้ให้บิดามาราดจำเลยปลูกโรงเรือนอาศัยอยู่มีอาณาเขตต์กว้าง ๘ วา ยาว ๑๐ วา ต่อมานายสอนนางกล่ำตาย โจทก์ได้รับมฤดก จำเลยได้ขออาศัยสืบต่อบิดามารดา ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ จำเลยกลับโต้เถียงกรรมสิทธิ จึงขอให้บังคับจำเลยรื้อโรงเรือนและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ที่พิพาทจะอยู่ในเลขโฉนดของโจทก์หรือไม่ ไม่ทราบ เป็นแต่เป็นที่ ๆ ปู่ย่า จำเลยปลูกโรงเรือนครอบครองมาเป็นเจ้าของหลายสิบปีแล้ว ตกเป็นของจำเลยทางมฤดก จำเลยหาได้อาศัยไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่พิพาท ค่าเสียหายให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เท่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่า บิดามารดาจำเลยอาศัยที่พิพาทปลูกโรงเรือนมาตั้งแต่ครั้งนายสอนนางกล่ำตายายของโจทก์ แล้วต่อมาเมื่อที่ตกเป็นของโจทก์โดยทางมฤดก จำเลยก็ยังคงขออาศัยสืบต่อมานั้นเป็นการเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจขอพิพาทและต่อสู้คดีไว้ชัดแจ้งแล้ว หาเป็นการฟ้องเคลือบคลุมไม่ ส่วนข้อที่จำเลยค้านว่า โจทก์ฟ้องอ้างเหตุอาศัย แต่การอาศัยมิได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ออกโฉนด ฉะบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๕๙ จึงถือว่าเป็นการอาศัยตามฟ้องไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ก.ม.ที่จำเลยอ้าง เป็นเรื่องเกี่ยกับสิทธิอาศัย แต่คดีนี้หาพิพาทกันถึงเรื่องสิทธิอาศัยไม่ เป็นการพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิที่ดิน การที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยอยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้อาศัย เป็นแต่การพิจารณาข้อเท็จจริง ซึ่งฟังได้ว่าจำเลยอาศัยที่พิพาท
พิพากษายืน

Share