แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าอาวาสปลูกสร้างเรือนพิพาทในที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดโดยใช้เงินของผู้อื่นซึ่งมีศรัทธาถวายเพื่อเป็นที่พักเวลามาทำบุญนั้น เรือนนั้นตกเป็นกรรมสิทธิของวัดเพราะเป็นส่วนควบของที่ดิน
สิทธิที่จะปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่นจะเกิดขึ้นได้โดยเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดขึ้นโดยนิติกรรม อันผู้มีสิทธิอาจฟ้องร้องบังคับเอาได้
เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาจัดการสมบัติของวัด จึงมีสิทธิมอบอำนาจให้ไวยาวัจจกรฟ้องร้องคดีแทนวัดได้
ย่อยาว
ได้ความว่า เรือนพิพาทพระศาสนโสภณเจ้าอาวาสองค์ก่อนได้จัดการปลูกสร้างขึ้นในที่ธรณีสงฆ์ของวัดด้วยเงินของนางรวย ดอนศิริ เพื่อเป็นที่พักของนางรวย เวลามาทำบุญ ต่อมาพระศาสนโสภณองค์ก่อนนั้นมรณะภาพ โจทก์ฟ้องว่าเรือนพิพาทเป็นของวัด ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เรือนนั้นไม่ใช่เป็นศาสนสมบัติของวัด พระศาสนโสภณองค์ก่อนได้ขอจากนางรวยมายกให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งได้ครอบครองมา ๑๕ ปีเศษแล้ว และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และเจ้าอาวาสองค์นี้ไม่มีอำนาจมอบให้ไวยาวัจจกรฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เรือนพิพาทไม่ใช่ส่วนควบตามมาตรา ๑๐๙ เพราะนางรวยใช้ชั่วคราว ไม่เป็นกรรมสิทธิของวัด ที่นางรวยยกให้พระศาสนโสภณองค์ก่อน ทำไม่ถูกแบบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า วัดเป็นนิติบุคคล และเจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาจัดการสมบัติของวัดตาม พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ จะได้มีการแต่งตั้งหรือยังก็ตาม พระธรรมปาโมกข์ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสขณะเจ้าอาวาสองค์ก่อนมรณะภาพ ย่อมมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนวัดได้ เรือนเป็นของพระศาสนโสภณองค์ก่อน เมื่อมรณะภาพลงโดยไม่ทำพินัยกรรมไว้ ก็ตกเป็นของวัด พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยไม่ได้อ้างในคำให้การว่า พระธรรมปาโมกข์ไม่ใข่เจ้าอาวาสขณะมอบอำนาจ ต่อสู้แต่เพียงว่าไม่มีอำนาจมอบให้ฟ้องเท่านั้น ข้อนี้จึงไม่มีประเด็นจะวินิจฉัย
วัดวาอารามเป็นนิติบุคคล และทั้ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้กำหนดหน้าที่ให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาจัดการศาสนสมบัติของวัด เจ้าอาวาสย่อมเป็นผู้แสดงเจตนาแทนวัดในการมอบอำนาจฟ้องคดีได้ และตามธรรมดาโรงเรือนซึ่งปลูกสร้างลงในที่ดินย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน ใครเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิในโรงเรือนนั้น นอกจากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๐๙ หรือมาตรา ๑๓๑๒ เรือนพิพาทจะต้องติดอยู่กับที่ดินตลอดไป มิใช่ชั่วคราว นางรวยก็ดี พระศาสนโสภณองค์ก่อนก็ดี มิใช่เป็นผู้มีสิทธิที่จะปลูกโรงเรือนนั้นในที่ดินของผู้อื่น เพราะสิทธิเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็แต่เมื่อเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดขึ้นโดยนิติกรรม อันผู้มีสิทธิอาจฟ้องร้องบังคับเอาได้เท่านั้น การปลูกสร้างทรัพย์สิ่งใดติดลงไปในที่ดินของผู้อื่น โดยเจ้าของที่ดินมิได้ทักท้วงว่ากล่าวนั้น หาทำให้ผู้ปลูกเกิดสิทธิที่จะปลูกทำลงในที่ดินของผู้อื่นนั้นไม่ ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๓๑๐ และมาตรา ๑๓๑๑ จึงบัญญัติไว้บังคับในกรณีเช่นนี้ โดยถือหลักในเบื้องต้นว่าโรงเรือนนั้นย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดิน และเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของที่ดินเรือนพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิของวัด ที่จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิว่าได้รับยกให้หรือครอบครองปรปักษ์นั้นฟังไม่ได้ ส่วนการที่ว่าผู้ปลูกสร้างได้ทำโดยสุจริตหรือไม่ ในอันที่จะบังคับการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๓๑๐ หรือ ๑๓๑๑ นั้น ไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัย
พิพากษายืน.