คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพินัยกรรม ข้อ 9 มีข้อความว่า “ตึก 2 ชั้น 1 หลัง 7 ห้อง ชั้นบนเป็นโรงแรมชายทะเล ชั้นล่างเป็นห้องแถวและเป็นทางขึ้นโรงแรมเสีย 1 ห้องให้ได้แก่….เท่านั้น” เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ตึกแถวสร้างเต็มเนื้อที่ดิน หากไม่ให้ที่ดินที่ตึกตั้งอยู่ตกแก่ผู้รับพินัยกรรมแล้วก็ต้องรื้อตึกทำให้ตึกไร้ค่าไป แสดงว่าเจ้ามรดกมีความประสงค์จะให้ตึกแถว 2 ชั้นนั้นตั้งอยู่ในที่ดินอย่างถาวรในลักษณะเป็นอสังหาริมทรัพย์ แม้ตามพินัยกรรม ข้อ 9 ดังกล่าวจะไม่กล่าวถึงที่ดินที่ตั้งตึก 2 ชั้นไว้ ต้องถือว่าเจ้ามรดกมีเจตนายกที่ดินที่ตั้งของตึกให้แก่ผู้รับพินัยกรรมด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เป็นบุตรของนายลักษณ์ ภูริพันธุ์เจ้ามรดกอันเกิดแก่นางสร้วง นายลักษณ์ได้จดทะเบียนรับรองโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรจำเลยเป็นภรรยาและเป็นผู้จัดการมรดกของนายลักษณ์ตามคำสั่งศาล เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๒ นายลักษณ์เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่บรรดาทายาท เฉพาะพินัยกรรม ข้อ ๙ มีข้อความว่าให้ตึก ๒ ชั้น ๑ หลัง ชั้นบนเป็นโรงแรมชายทะเล ชั้นล่างเป็นห้องแถวและทางขึ้นโรงแรมตกได้แก่นางสมจิต นายทวีศักดิ์ นายทวีโชค บุตรที่เกิดจากจำเลย แต่ที่ดินพิพาทตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๗๔ ซึ่งตึก ๒ ชั้นดังกล่าวตั้งอยู่ นายลักษณ์ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้ใด จึงเป็นทรัพย์นอกพินัยกรรมจะต้องตกแก่ทายาทโดยธรรมรวมทั้งโจทก์ทั้งสอง เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรมโจทก์จึงมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าว ๒ ใน ๖ ส่วน และมีสิทธิได้รับค่าเช่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๓,๓๐๐ บาท ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์ทั้งสองคนละ ๑ ใน ๖ ส่วน และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า ตามพินัยกรรม ข้อ ๙ นายลักษณ์เจ้ามรดก มีเจตนายกที่ดินพิพาทอันเป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างตึกแถวสองชั้นซึ่งปลูกเต็มเนื้อที่ให้แก่นางสมจิต นายทวีศักดิ์ นายทวีโชคด้วย เพราะมิใช่ยกสิ่งปลูกสร้างให้โดยเจตนาจะรื้อถอนไป ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ทรัพย์นอกพินัยกรรม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองเป็นทายาทของนายลักษณ์ ภูริพันธุ์ ตามพินัยกรรม ข้อ ๙ เจ้ามรดกยกสิ่งปลูกสร้างให้แก่ทายาทรวมทั้งที่ดินที่สิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อกำหนดในพินัยกรรม ข้อ ๙ ว่า “ตึก ๒ ชั้น ๑ หลัง ๗ ห้อง ชั้นบนเป็นโรงแรมชายทะเล ชั้นล่างเป็นห้องแถวและเป็นทางขึ้นโรงแรมเสีย ๑ ห้องให้ได้แก่นางสมจิต นายทวีศักดิ์ นายทวีโชค ภูริพันธุ์ รวม ๓ คนเท่านั้น” พิเคราะห์แล้วเห็นว่าทรัพย์สินตามพินัยกรรม ข้อ ๙ เป็นตึก ๒ ชั้น ชั้นบนเป็นโรงแรม ชั้นล่างเป็นห้องแถวให้เช่า มีราคามากกว่าทรัพย์มรดกรายอื่น ๆ และเจ้ามรดกไม่เคยพูดว่าจะรื้อตึกแถวและโรงแรมชายทะเลนั้น แสดงให้เห็นว่าเจ้ามรดกมีความประสงค์จะให้ตึกแถว ๒ ชั้นตั้งอยู่ในที่ดินที่ก่อสร้างอย่างถาวรต่อไป โดยเจตนาให้ตกได้แก่ทายาทผู้รับพินัยกรรมในลักษณะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หากไม่ให้ที่ดินที่ตึกตั้งอยู่ตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมด้วย ก็อาจมีเหตุทำให้ต้องรื้อถอน ตึกก็จะไร้ค่าไปในที่สุดได้ แม้แต่พินัยกรรม ข้อ ๒ ที่เจ้ามรดกกำหนดให้บ้าน ๒ ชั้น ๑ หลัง ตกได้แก่โจทก์ที่ ๑ ก็ไม่ได้ระบุถึงที่ดินด้วย แต่ก็หามีทายาทคนใดมากล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกสร้างบ้านไม่เป็นทรัพย์ตามพินัยกรรมที่ตกได้แก่โจทก์ที่ ๑ รวมทั้งบ้านไม่ นอกจากอสังหาริมทรัพย์ที่เจ้ามรดกกำหนดไว้ตามพินัยกรรมให้ตกได้แก่ทายาทแต่ละคนแล้ว ไม่ได้ความว่าเจ้ามรดกมีอสังหาริมทรัพย์อื่นเหลืออยู่อีก แสดงว่าเจ้ามรดกประสงค์จะให้อสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมดตกได้แก่ทายาทตามที่กำหนดไว้ ไม่มีเหตุผลที่จะเว้นไว้เฉพาะที่ดินพิพาทรายเดียวให้เป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ในพินัยกรรม ถ้าเจ้ามรดกประสงค์จะให้ที่ดินพิพาทแก่ทายาททุกคน เชื่อว่าเจ้ามรดกจะต้องกำหนดแยกไว้โดยเฉพาะในพินัยกรรม ดังนั้น ถึงแม้ว่าตามพินัยกรรมข้อ ๙ จะไม่ได้กล่าวถึงที่ดินที่ตั้งตึก ๒ ชั้นไว้ก็ต้องเข้าใจว่าเจ้ามรดกมีเจตนาให้ตึก ๒ ชั้น ซึ่งชั้นบนเป็นโรงแรมชายทะเล ชั้นล่างเป็นห้องแถวนั้นตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมรวมทั้งที่ดินที่ตั้งของตึกนั้น คือ ที่พิพาทด้วย โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับ
พิพากษายืน

Share