แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ บบส. พ. เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และบริษัทดังกล่าวได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในระยะเวลาตามกฎหมาย จำเลยทั้งสามคงยื่นคำร้องคัดค้านว่า การส่งประกาศยึดทรัพย์ หมายบังคับคดี และประกาศขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยทั้งสามจะยื่นคำร้องคัดค้านการเข้าสวมสิทธิของผู้ร้อง แต่ข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสามก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในระยะเวลาตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติว่า บบส. พ. เป็นผู้สวมสิทธิเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์โดยชอบ บบส. พ. จึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และสามารถโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ผู้ร้องได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินตามฟ้อง แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามเงื่อนไขในสัญญา ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2543 โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยทั้งสามให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด ครั้นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 บริษัทดังกล่าวยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต เมื่อจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม ผู้เข้าสวมสิทธิจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 7366 ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อออกขายทอดตลาด
บริษัทบริหารสินทรัพย์ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนผู้ร้อง
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความในคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 อนุญาตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้ และบริษัทดังกล่าวได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวภายในระยะเวลาตามกฎหมาย คงมีแต่เพียงกรณีที่จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2549 คัดค้านว่า มีการส่งประกาศยึดทรัพย์ หมายบังคับคดี และประกาศขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งว่า การส่งหมายและประกาศดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามฎีกาโดยยกข้ออ้างขึ้นใหม่ด้วยว่า ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์มิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดี ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา จึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8238/2554 แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยทั้งสามจะยื่นคำร้องคัดค้านลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 มีใจความคัดค้านการเข้าสวมสิทธิของผู้ร้อง ทั้งยังกล่าวอ้างว่า การโอนสินทรัพย์ระหว่างโจทก์กับบริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ บริษัทดังกล่าวจึงไม่อาจสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้ แต่ข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสามไม่อาจถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในระยะเวลาตามกฎหมาย ดังนี้ ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด เป็นผู้สวมสิทธิเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์โดยชอบ และเมื่อเป็นการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรวมทั้งหลักประกันเพื่อนำมาบริหารหรือจำหน่ายจ่ายโอนต่อไป ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 ที่มีเจตนารมณ์ในการแก้ปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินและกระทบกระเทือนต่อความสามารถในการให้สินเชื่อภาคเศรษฐกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด จึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และสามารถดำเนินการบังคับคดีเอาแก่ที่ดินอันเป็นทรัพย์จำนองได้โดยไม่จำต้องจดทะเบียนเป็นผู้รับจำนอง รวมทั้งสามารถโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ผู้ร้องได้ ดังนั้น ผู้ร้องจึงเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ