คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาเข้าหุ้นกันทำเหมืองแร่โดยโจทก์มอบให้จำเลยเป็นผู้จัดการ ผลิตแร่และครอบครองที่ดินตามคำขออาชญาบัตร จำเลยผลิตแร่ได้แล้วนำออกจำหน่ายเป็นเงินประมาณสามล้านบาทเศษ ไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้ร้อยละ 20 ตามสัญญา ดังนี้ เห็นได้ว่ามิใช่เรื่องจำเลยทำผิดหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สินของโจทก์โดยทุจริต แต่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ไม่เป็นผิดอาญาฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๑๓ โจทก์จำเลยทำสัญญาเข้าหุ้นทำเหมืองแร่ในท้องที่จังหวัดนครนายก จังหวัดสระบุรี และจังหวัดเพชรบุรี โดยโจทก์มอบให้จำเลยเป็นผู้จัดการและครอบครองที่ดินตามคำขออาชญาบัตร มีข้อตกลงว่าจำเลยเป็นผู้ทำเหมืองผลิตแร่เอง โดยต้องให้ผลประโยชน์แก่โจทก์อัตราร้อยละ ๒๐ ของราคาแร่ หรือจำนวนแร่ที่ผลิตได้ และจะต้องจ่ายทันทีเมื่อได้ขนย้ายแร่ออกจำหน่าย จำเลยได้เริ่มผลิตแร่จากเหมืองตั้งแต่ปลายปี ๒๕๑๔ เป็นลำดับมาถึงเดือนมีนาคม ๒๕๒๑ ได้ขนแร่ออกจำหน่ายประมาณ ๑๕,๒๐๐ ตัน ราคาตันละ ๒๐๐ บาท เป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ ๓,๐๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งตามสัญญาร้อยละ ๒๐ เป็นเงินประมาณ ๖๐๘,๐๐๐ บาท จำเลยไม่เคยจ่ายเงินส่วนแบ่งให้โจทก์เลย เมื่อโจทก์ขอแบ่ง จำเลยบอกตลอดมาว่าขอเก็บไว้เป็นเงินหมุนเวียนก่อน ครั้งระหว่างวันที่ ๑ ถึง ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑ เวลากลางวัน โจทก์บอกให้ทนายความมีหนังสือทวงถาม และให้จำเลยแจ้งยอดบัญชีขนย้ายแร่และจำหน่ายภายใน ๑๐ วัน จำเลยรับหนังสือแล้วได้แจ้งว่าจำเลยไม่แบ่งค่าแร่ให้โจทก์ ถ้าอยากได้ให้ฟ้องเอา โจทก์จึงทราบว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังเอาผลประโยชน์ส่วนแบ่งของโจทก์เป็นเงินประมาณ ๖๐๘,๐๐๐ บาท ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน จำเลยกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ซึ่งเป็นส่วนได้ของโจทก์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน เหตุเกิดที่แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓, ๓๕๔, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๓ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๓ ให้จำคุก ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วตามฟ้องของโจทก์บรรยายเป็นใจความว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาเข้าหุ้นกันทำเหมืองแร่ โดยโจทก์มอบให้จำเลยเป็นผู้จัดการ ผลิตแร่และครอบครองที่ดินตามคำขอของอาชญาบัตร จำเลยผลิตแร่ได้แล้วนำออกจำหน่ายเป็นเงินประมาณสามล้านบาทเศษ ไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้ร้อยละ ๒๐ ตามสัญญา เห็นได้ว่า มิใช่เรื่องจำเลยทำผิดหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สินของโจทก์โดยทุจริต แต่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ไม่เป็นผิดอาญาฐานยักยอก ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share