แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ในคดีอาญา ว. ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของโจทก์ถูกฟ้อง ศาลฟังว่า ว.ไม่ใช่คนร้ายวางเพลิงทรัพย์ของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย แต่เมื่อมูลคดีเป็นคนละอย่างไม่เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง (คดีนี้) ที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาประกันภัย ทั้งคู่ความในคดีแพ่งมิใช่คู่ความในคดีอาญา จึงถือข้อเท็จจริงในคดีอาญามาพิพากษาคดีแพ่งไม่ได้
บริษัทโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้มีการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเพื่อหวังเงินประกัน จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด เพราะวินาศภัยเกิดขึ้นเพราะความทุจริตของบริษัทโจทก์ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าสินไหมทดแทน ๒,๘๐๐,๐๐๐ บา เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้ทรัพย์ที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เป็นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่เอาประกัน โจทก์ฉ้อฉลให้สัญญาประกันภัยเกิดขึ้น อัคคีภัยเกิดเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ และโจทก์ร่วมรู้เห็นทำให้เกิดอัคคีภัย จำเลยไม่ต้องรับผิด นายทะเบียนประกันวินาศภัยให้ระงับการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ก็ไม่แสดงรายการความเสียหายผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่เกิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เอาประกันภัยได้ นายทะเบียนประกันวินาศภัยได้สั่งเพิกถอนคำสั่งให้ระงับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้อง โจทก์มิได้รู้เห็นเป็นใจและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่เกิดอัคคีภัย จำเลยต้องรับผิด พิพากษาให้จำเลยชำระเงินโจทก์ ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท แต่ดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าที่ฟ้อง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลฎีกาจะได้พิจารณาประเด็นข้อ ๓ ก่อนว่า โจทก์มีส่วนรู้เห็นในการเกิดอัคคีภัยหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้ออ้างของจำเลยว่า โจทก์ร่วมรู้เห็นในการวางเพลิงเพราะนายวิสิทธิ์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทโจทก์ เป็นผู้กระทำผิดนั้นรับฟังไม่ได้เนื่องจากศาลต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๙๒/๒๕๑๕ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดนครราชสีมา) ซึ่งฟังว่านายวิสิทธิ์และนายฉ่างปิวจำเลย ไม่ใช่คนร้ายที่วางเพลิงนั้น เห็นว่าคดีเรื่องนี้มูลกรณีเป็นคนละอย่าง หาได้เกี่ยวเนื่องมาจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๙๒/๒๕๑๔ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดนครราชสีมา) ที่กล่าวหาว่านายวิสิทธิ์และนายฉ่างปิววางเพลิงไม่ แต่คู่ความพิพาทกันเกี่ยวด้วยสิทธิและความรับผิดตามสัญญาประกันภัย เป็นเรื่องใหม่อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ทั้งคู่ความคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญามาพิพากษาคดีนี้เป็นการคลาดเคลื่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง ประเด็นข้อนี้ตามพยานหลักฐานในสำนวนต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า พยานหลักฐานจำเลยดังกล่าวประกอบกันรับฟังได้ว่า บริษัทโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้มีการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเพื่อหวังเงินประกัน ถือได้ว่าวินาศภัยครั้งนี้เกิดขึ้นโดยการกระทำโดยเจตนาของบริษัทโจทก์ผู้เอาประกัน บริษัทโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๑๓ หรืออีกนัยหนึ่งจำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดเพราะวินาศภัยเกิดขึ้น เพราะความทุจริตของบริษัทโจทก์ผู้เอาประกันภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๗๙ คดีไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นข้ออื่นที่โจทก์และจำเลยฎีกาอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์