แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้กล่าวอ้างถึงสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 591/2536 ของศาลชั้นต้นไว้ในคำฟ้อง ทั้งได้ระบุอ้างสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยาน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 นำข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงตรงตามคำฟ้องและประเด็นในข้อพิพาทแล้ว หาเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 อ้างไม่ และตามสำนวนคดีดังกล่าวได้ความว่าจำเลยที่ 1 เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 มาก่อน และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๘๔ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้จำเลยที่ ๑ ขนย้ายบ้านเลขที่ ๑๘๘ หมู่ที่ ๕ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โรงเรือนที่พักคนงาน โรงเรือนเก็บสิ่งของ ตลอดจนบริวารและทรัพย์สิน รวมทั้งต้นอ้อย ต้นข้าว ต้นข้าวโพด และต้นถั่วลิสงและให้จำเลยที่ ๒ ขนย้ายบ้านไม่มีเลขที่ตลอดจนบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้อาศัยในที่ดินตามฟ้อง แต่จำเลยที่ ๑ ครอบครองอาศัยอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ ๑ เอง ซึ่งซื้อมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี แล้ว ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๘๔ ไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตาย โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ ๑ และบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๘๔ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และขนย้ายบ้านเลขที่ ๑๘๘ หมู่ที่ ๕ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โรงเรือนที่พักคนงาน โรงเรือนเก็บสิ่งของ ตลอดจนบริวารและทรัพย์สิน รวมทั้งต้นอ้อย ต้นข้าว ต้นข้าวโพด และต้นถั่วลิสงออกไปจากที่ดินของโจทก์แปลงดังกล่าว ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่ ๑ และบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๘๔ ของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้ว่าที่ดินตามฟ้องเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิครอบครอง เท่ากับจำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าที่ดินที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยที่ ๑ และบริวารนั้นเป็นของจำเลยที่ ๑ มิใช่ที่ดินของโจทก์ กรณีจึงเป็นคดีมีข้อพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิครอบครองในที่ดินอันเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามราคาของที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาทมาเกินกว่าสองแสนบาทโดยจำเลยที่ ๑ มิได้โต้แย้ง จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๘๔ เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ครอบครอง และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ นำข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๙๑/๒๕๓๖ ของศาลชั้นต้นมาวินิจฉัยเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็นนั้น เห็นว่า โจทก์ได้กล่าวอ้างถึงสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๙๑/๒๕๓๖ ของศาลชั้นต้นไว้ในคำฟ้อง ทั้งได้ระบุอ้างสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานโดยโจทก์กล่าวอ้างในคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๐ ที่ขอให้นำสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกรวมไว้กับคดีนี้ว่า จำเลยที่ ๑ เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ในคดีดังกล่าวโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ นำข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงตรงตามคำฟ้องและประเด็นในข้อพิพาทแล้ว หาเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ ๑ อ้างในฎีกาไม่ และตามสำนวนคดีดังกล่าวได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์โดยอ้างว่าที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๘๔ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นของจำเลยที่ ๑ และเอกสารท้ายคำร้องขัดทรัพย์ก็ยืนยันว่าบ้านเลขที่ ๑๘๘ หมู่ที่ ๕ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าบ้านนั้นปลูกอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว ตรงตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสุพรรณบุรีเอกสารหมาย จ. ๑ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเพียงเท่านี้ก็มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงแล้วว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองโดยไม่จำต้องทำแผนที่พิพาทรังวัดสอบเขตหรือขอให้ศาลไปเผชิญสืบที่ดินพิพาทตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ ๑ เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ มาก่อน และศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ และต้องฟังว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๔๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.