คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3033/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ชำระอากรขาเข้าเพิ่มภายหลังนำของไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วย พ.ร.บ ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า แม้โจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจะเรียกร้องเงินอากรที่ชำระเพิ่มคืนก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ในการฟ้องคดี
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 4 ฉบับ ที่พิพาทเป็นราคาที่โจทก์ซื้อและเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่โจทก์นำเข้า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยย่อมมีอำนาจประเมินราคาใหม่ได้โดยปฏิบัติตามคำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากรที่ 44/2540 ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการกำหนดราคาที่ใช้ในการประเมินอากรและการตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้า แม้คำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรฉบับดังกล่าวจะมิใช่กฎหมายก็ตาม แต่ก็เป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ ศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งใช้เป็นหลักปฏิบัติทั่วไป มิใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะโจทก์ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าทั้ง 4 เที่ยวใหม่ จึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและให้จำเลยคืนเงินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มอากรขาเข้าจำนวน ๒,๐๙๑,๘๓๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้นดังกล่าว ๒,๐๙๑,๘๓๒ บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มเลขที่ ๒๘๐๑ ๐๐๑๑ ๐๕๐๓ เลขที่ ๒๘๐๑ ๐๐๓๑ ๐๐๗๑ เลขที่ ๒๘๐๑ ๐๐๔๑ ๑๑๑๐ และเลขที่ ๒๘๐๑ ๐๐๖๑ ๐๖๔๘ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๒,๐๕๓,๙๐๗ บาท แก่โจกท์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์นำเข้าน้ำมันรีดิว ครูด รวม ๔ เที่ยว จาก Saudi Arabian Oil Company ประเทศซาอุดีอาระเบีย โจทก์ชำระอากรขาเข้าตามที่สำแดงและวางหนังสือธนาคาร ค้ำประกันไว้ ต่อมาจำเลยได้แจ้งการประเมินอากรขาเข้าเพิ่มเติม โจทก์จึงชำระค่าอากรพร้อมเงินเพิ่มตามที่จำเลยประเมิน โจทก์ไม่ได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยว่าจะใช้สิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรในขณะ ผ่านพิธีการทางศุลกากร เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงกำหนดราคาที่ใช้ในการประเมินอากรตามคำสั่งทั่วไป กรมศุลกากรที่ ๔๔/๒๕๔๐ โดยใช้ราคาร้อยละ ๘๐ ของราคานำเข้าสูงสุดในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐
จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า โจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรหรือวางเงินไว้เป็นประกันก่อนนำของออกไปจากอารักขาของศุลกากร แต่โจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนเงินอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๐ วรรคห้า โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอคืนเงินอากรจากจำเลย ในประเด็นนี้พยานโจทก์ เบิกความว่า น้ำมันดิบที่โจทก์นำเข้านั้นขนส่งมาทางเรือ เรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือของบริษัทไทยออยล์ จำกัด และสูบน้ำมันดิบผ่านท่อส่งเข้าสู่ถังเก็บภายในบริเวณโรงกลั่นของโจทก์ ท่าเรือและถังเก็บดังกล่าวได้รับอนุมัติจากจำเลยให้เป็นท่าเรือที่ขนถ่ายและเก็บรักษาน้ำมันดิบได้ โดยมีพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยควบคุมดูแลการสูบถ่าย หลังจากโจทก์สูบน้ำมันดิบเข้าสู่ถังเก็บของโจทก์แล้ว โจทก์ได้ขอผ่อนผันการวางประกันอากรเพิ่มเพื่อให้ตรวจปล่อยสินค้าไปก่อน และปรากฏตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง ๒ ฉบับว่า ได้มีการตรวจปล่อยสินค้าไปในเดือนเดียวกับที่โจทก์นำเข้า อีก ๒ ถึง ๔ เดือนต่อมาโจทก์จึงชำระอากรขาเข้าเพิ่มตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินเพิ่ม จำเลยมิได้นำสืบหักล้างในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ การที่โจทก์ชำระอากรขาเข้าเพิ่มจึงเป็นการชำระหลังนำของไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้โจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจะเรียกร้องเงินอากรที่ชำระเพิ่มคืนก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ในการฟ้องคดี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ข้อหลังว่า การกำหนดราคาที่ใช้ในการประเมินอากรขาเข้าของจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ในประเด็นข้อนี้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง ๔ ฉบับ ที่พิพาทเป็นราคาที่โจทก์ซื้อและเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่โจทก์นำเข้า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยย่อมมีอำนาจประเมินราคาใหม่ได้ จำเลยนำสืบว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่มีประกาศราคาของสำนักมาตรฐานศุลกากร ไม่มีบัญชีราคาสินค้า และไม่มีหลักเกณฑ์กำหนดราคาประเมินไว้โดยเฉพาะ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงประเมินราคาโดยปฏิบัติตามคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากร ที่ ๔๔/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ หมวดที่ ๐๖ บทที่ ๐๖ ข้อ ๑๔ ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการกำหนดราคาที่ใช้ในการประเมินอากรและการตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้า โดยปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวข้อ ๑.๒.๑ (๒) ที่ให้นำราคานำเข้า สูงสุดในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ เทียบกับราคานำเข้าครั้งพิพาท ถ้าราคานำเข้าครั้งพิพาทต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ให้ใช้ราคา นำเข้าสูงสุดในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ หรือราคานำเข้าสูงสุดไม่เกิน ๓๐ วัน ที่ผ่านมานับรวมถึงวันนำเข้า หากราคาใดสูงกว่าให้ใช้ราคานั้นเป็นเกณฑ์ประเมินอากร กรณีของโจทก์ไม่มีราคาในระยะเวลา ๓๐ วัน ก่อนนำเข้าเจ้าพนักงานประเมิน จึงใช้ราคานำเข้าสูงสุดในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ คือ ๑๐๑.๔๒๙๔ ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นราคาประเมิน ๘๑.๑๔๓๕๒ ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน เห็นว่า แม้คำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรฉบับดังกล่าวมิใช่กฎหมายแต่เป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ เพื่อให้การกำหนดราคาที่ใช้ประเมินอากรและการตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้าเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมในการเสียภาษี คำสั่งนี้ใช้เป็นหลักปฏิบัติทั่วไป มิใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะโจทก์ เมื่อราคาที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้ามิใช่ราคาที่โจทก์ซื้อมา อีกทั้งจำเลยนำสืบฟังได้ว่า ก่อนที่จะพิพาทในคดีนี้โจทก์เคยนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันนี้ในช่วงเดือนตุลาคมถึง เดือนธันวาคม ๒๕๔๐ สำแดงราคา ๑๑๒.๔๕๔๓, ๑๐๙.๕๙๕๗ และ ๑๐๒.๘๖๔๓ ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน ตามเอกสารหมาย ล.๒ แผ่นที่ ๓๐ ถึง ๓๓, ๕๔ ถึง ๕๘ และ ๗๙ ถึง ๘๒ และไม่ปรากฏว่ามีเหตุใดที่ทำให้สินค้าที่โจทก์นำเข้าทั้ง ๔ เที่ยวที่พิพาทมีราคาต่ำกว่าเดิมเกินกว่าร้อยละ ๓๐ การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าทั้ง ๔ เที่ยว เป็นราคาเมตริกตันละ ๘๑.๑๔๓๕๒ ดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นการประเมินที่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑๕,๐๐๐ บาท.

Share