คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ซื้อที่ดินมีโฉนดมา 1 แปลงแต่ปรากฎว่า เมื่อผู้ซื้อไปดูที่ดินที่จะซื้อ ก็เห็นว่าจำเลยอยู่ในที่รายนี้โดยมีบ้านเรือนปลูกอยู่ มีกอไผ่ล้อมรั้วอยู่ในที่ดินส่วนหนึ่งก่อนแล้ว ผู้ซื้อก็มิได้ซักถามจำเลยหรือแม้แต่ตัวผู้ขายว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทได้ด้วยเหตุใด การที่ผู้ซื้อ ซึ้อไว้ทั้ง ๆที่รู้อยู่ว่าจำเลยได้ใช้สิทธิครอบครองที่รายพิพาทแยู่เช่นนี้ เท่ากับเป็นการซื้อโดยสุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้ซื้อกรรมสิทธิที่ดินตามโฉนดที่ ๒๘๔ ไว้จากเจ้าของที่ดิน จำเลยทั้ง ๒ นี้เข้าอยู่ในที่ดินแปลงนี้ตั้งแต่เป็นกรรมสิทธิของเจ้าของเดิม จะอยูมาอย่างไร โจทก์ไม่ทราบ โจทก์ให้จำเลยทำสัญญาจำเลยก็ไม่ยอม จึงขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยกับบิดามารดาได้ครอบครองและปลูกเรือนอยู่ในที่รายนี้มาเกิน ๑๐ ปีแล้ว สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยผู้ขายไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้อง
นายเพิกจำเลยที่ ๑ อุทธรณ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว คงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ภายในเขตโฉนดที่ ๒๘๔ ซึ่งโจทก์ซื้อจากสำเริง ๆ แต่ก็ได้ความว่า พ่อตาแม่ยายและตัวจำเลยได้ปลูกเรือนกอไผ่ล้อมรั้วอยู่ตรงที่รายพิพาทนี้มาหลายสิบปี เมื่อโจทก์ไปดูที่ดินที่จะซื้อก็เห็นจำเลยอยู่มาก่อนแล้ว แต่ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ซักถามจำเลยหรือแม้ตัวพระสำเริงๆผู้ขายว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทได้ด้วยเหตุใด ซึ่งถ้าเป็นการซื้อขายโดยสุจริตก็น่าจะสอบถามให้ได้ความ การที่โจทก์ซื้อไว้ทั้ง ๆ ที่รู้อยูว่าจำเลยได้ใช้สิทธิครองครองที่รายพิพาทอยู่ เช่นนี้เท่ากับเป็นการซื้อคดีมาฟ้องร้อง เรียกไม่ได้ว่า โจทก์ได้ซื้อโดยสุจริตดังศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมา
จึงพิพากษายืน

Share