คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7141/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้ยืมเงินมีข้อตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี ทบเข้ากับเงินต้นแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้านั้น มีผลบังคับใช้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในบังคับข้อห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง แม้จะครบกำหนดชำระหนี้และลูกหนี้ผิดนัดแล้วโจทก์ก็มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามวิธีการดังกล่าวได้
โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนองให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองให้แก่จำเลยไม่ได้ จึงประกาศให้จำเลยทราบทางหนังสือพิมพ์ เป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองให้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 6,560,734.95 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 29 ต่อปี ของต้นเงิน 5,421,954.61 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี ทบกับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 29 ต่อปี นับแต่วันค้างชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 1 ปี จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 47003 กรุงเทพมหานคร โดยจดทะเบียนคืนทรัพย์สินให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลย ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์จะนำคดีมายื่นฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยโจทก์คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 6,560,734.95 บาท แม้ว่าสัญญากู้ยืมเงินจะมีนายอกนิษฐ์ลงลายมือชื่อผู้กู้แต่ฝ่ายเดียว ก็มีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย เมื่อในสัญญากู้ยืมดังกล่าวตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี ทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้านั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในบังคับข้อห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี ทบเข้ากับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ทุกครั้งที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยถึง 1 ปี แม้จะครบกำหนดชำระคืนและลูกหนี้ผิดนัดแล้วก็ตาม แต่โจทก์จะขอให้นำดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้องมาคำนวณเป็นดอกเบี้ยค้างชำระอีกย่อมไม่ได้ เพราะคำฟ้องโจทก์คำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระถึงวันฟ้องเท่านั้น…
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 6,560,734.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงิน 5,421,954.61 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47003 กรุงเทพมหานคร ทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท.

Share