คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอหย่ากับขอให้จ่ายค่าเลี้ยงชีพและแบ่งที่ดินโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516, 1526และ 1533 หาใช่เป็นการร้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมกันในโฉนดที่ดินทั้ง 4 ฉบับซึ่งเป็นสินสมรสโดยอาศัยอำนาจดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1475 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม่มีเหตุที่จะพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว จึงไม่จำต้องพิจารณาเรื่องค่าเลี้ยงชีพและทรัพย์สินตามฟ้องว่าเป็นสินสมรสที่จะต้องแบ่งกันหรือไม่ ทั้งไม่มีเหตุที่จะลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินทั้ง 4 ฉบับที่โจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี๒๔๙๙ มีบุตรด้วยกัน ๔ คน และมีทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสคือที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๒๒๔๘, ๒๙๔๖,๖๙๙๕ และ ๑๔๐๗๗ จำเลยประพฤติผิดหน้าที่ของสามี จงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเป็นเวลากว่า๑ ปี ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควรและกระทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ขอให้บังคับโจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้ไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินทั้ง ๔ โฉนด หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน กับให้จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๖๒๒๔๘ จำเลยซื้อมาระหว่างสมรสส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๐๗๗ เป็นของนายจุมพจน์บุตรของจำเลยที่เกิดจากภริยาเดิม และที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๙๙๕ และ ๒๙๔๖ เป็นสินส่วนตัวของจำเลย จำเลยไม่เคยประพฤติผิดหน้าที่สามีและไม่เคยละทิ้งร้างโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามฟ้องทั้ง๔ โฉนด โดยให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นการขอให้บังคับตามสิทธิของสามีภริยาโดยให้ลงชื่อร่วมกันในโฉนดที่ดินตามฟ้องทั้ง ๔ โฉนด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๕ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่าเนื้อหาในคำฟ้องเป็นการฟ้องหย่ากับขอให้จ่ายค่าเลี้ยงชีพและแบ่งที่ดินทั้ง ๔ โฉนดตามฟ้องโดยโจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๑๖, ๑๕๒๖ และ ๑๕๓๓ หาใช่เป็นการร้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกันในโฉนดที่ดินทั้ง ๔ ฉบับ ซึ่งเป็นสินสมรสโดยอาศัยอำนาจดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๕ ไม่ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม่มีเหตุที่จะพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว คดีจึงไม่จำต้องไปพิจารณาเรื่องค่าเลี้ยงชีพและทรัพย์สินตามฟ้องว่าเป็นสินสมรสที่จะต้องแบ่งกันหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเมื่อคดียุติลงโดยคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่มีเหตุหย่าแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามกฎหมาย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาแต่เนื่องจากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ยังมีข้อคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินตามฟ้องทั้ง ๔ โฉนดเสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share