คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล มีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน (ไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาลกระทำหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น) ทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพราะได้มอบหมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดก เอกสารหลักฐานทรัพย์มรดกทั้งหมด โจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ซึ่งจำเลยก็รู้เห็นแต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองที่ดินพิพาทสูญหาย ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยอ้างว่าควรจะเป็นของจำเลย จำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนจึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ประกอบด้วย มาตรา 354

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียง แซ่เจี่ยหรือแซ่อึ้ง หรือผิวพานิช ตามคำสั่งศาลจังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2528 เวลากลางวัน จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเหลียงได้ยักยอกที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกที่จะตกทอดแก่นายบรรจง สมบูรณ์ทรัพย์ นายใหญ่ อริยะกุลพรหมมานางสง่า จันทกานนท์ นางกาญจา ธรรมลิขิตกุล นางอารีย์ พาแก้วนายนิพนธ์ ผิวพานิช นางสาวเจริญ ผิวพานิช นางสาวรำไพอริยะกุลพรหมมา ทายาทซึ่งเป็นผู้เสียหายกับจำเลยไปเป็นของจำเลยเอง โดยจำเลยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเพียงคนเดียว มิได้จัดแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่ทายาทตามหน้าที่ของจำเลยตามกฎหมายโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายบรรจง สมบูรณ์ทรัพย์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงตามคำสั่งศาล ได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกก่อน แล้วจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทนั้นให้แก่จำเลยอีกทีหนึ่ง แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การเจรจาแบ่งปันทรัพย์มรดกของนางเหลียงระหว่างทายาทยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคนจำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ทั้งทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงเพราะได้มอบหมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปัน นอกจากนี้เอกสารหลักฐานและทรัพย์มรดกทั้งหมดโจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้โดยนายชาญ กุลชราทรเทพ นำมามอบให้ในขณะที่จัดงานศพของนางเหลียงซึ่งจำเลยก็รู้เห็น แต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองเลขที่ 88 สูญหาย ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ประกอบกับจำเลยเบิกความว่า ที่ดินตามตราจองเลขที่ 88 นี้ควรจะเป็นของจำเลยและนางอารีย์เพราะนางอารีย์ก็มีส่วนเสียหาย ทายาทอื่นไม่เสียหาย มีแต่ได้ประโยชน์จำเลยจึงไปยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงและจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวโดยนางอารีย์ให้ใส่ชื่อจำเลยไว้ก่อน แล้วค่อยแบ่งกันภายหลังและเบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า ที่ดินตามตราจองเลขที่ 88เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกและเป็นชื่อของจำเลยถือกรรมสิทธิ์แล้วนั้นจำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงด้วย การจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบด้วยมาตรา 354 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้ความคิดของจำเลยจะไม่ชอบด้วยหน้าที่ของผู้จัดการมรดกแต่ก็พอเห็นได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดของจำเลยเองคิดว่าคงทำได้ จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตนั้น เห็นว่าจากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุผลว่าจำเลยกระทำโดยเข้าใจผิดเห็นได้จากจำเลยเองก็เบิกความรับว่า จำเลยรู้ว่าทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นที่ดินจำเลยต้องแบ่งให้แก่ทายาททุกคนเท่า ๆ กัน
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ประกอบด้วยมาตรา 354 จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาทคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามจำคุก 8 เดือนปรับ 4,000 บาท จำเลยเป็นหญิง มีฐานะดี มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่เจ้าของ

Share