คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย โดยวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไขและยังไม่มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์ว่าเป็นหนี้ค่าซื้อรถยนต์บรรทุก 27,000 บาท โดยตกลงผ่อนชำระเป็นงวด ๆ แล้วเพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์เนื่องจากจำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ซื้อรถยนต์จากโจทก์และเป็นหนี้ค่าซื้อรถยนต์อยู่ 27,000 บาทจริง แต่จำเลยได้มอบรถยนต์ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยแจ้งให้โจทก์ส่งรถยนต์คืนจำเลยหลายครั้งเพื่อจดทะเบียนเป็นชื่อของจำเลยแล้วจำเลยจะได้ชำระหนี้ค่ารถยนต์ให้เสร็จสิ้นไป แต่โจทก์ไม่ยอมส่งคืนและจดทะเบียนให้จำเลย ขอให้บังคับโจทก์ส่งคืนรถยนต์แก่จำเลยและไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นชื่อของจำเลย ถ้าไม่สามารถส่งคืนได้ก็ให้ใช้ราคา 27,162 บาทแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ย หรือให้หักกลบลบหนี้กับค่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวที่จำเลยค้างชำระโจทก์อยู่
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การของจำเลย ส่วนฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องที่มีเงื่อนไข ข้อโต้แย้งยังไม่เกิดขึ้น จึงสั่งไม่รับฟ้องแย้งให้จำเลยไปยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่ต่างหากเมื่อชำระหนี้แล้วคืนค่าธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ขอให้รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยถือได้ว่า จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่จำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งในอุทธรณ์ว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรเพียงแต่กล่าวว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้เท่านั้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยโดยวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไขและยังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโดยให้เหตุผลแต่เพียงว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ ซึ่งเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์อันเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ตกเป็นของจำเลยแล้ว และจำเลยได้มอบรถยนต์ให้โจทก์ยึดไว้เป็นหลักประกันเท่านั้น จำเลยหาได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไร หรือเพราะเหตุใดไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ไม่แจ้งชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share