คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4783/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ยื่นฎีกาแต่เมื่ออ่านฎีกาทั้งฉบับ รวมทั้งผู้ลงชื่อผู้ร้องซึ่งเป็นทั้งทนายจำเลยที่ 1 และทนายผู้ร้องในขณะเดียวกัน ก็พออนุโลมได้ว่าเป็นฎีกาของผู้ร้อง
ข้อความตามหนังสือสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลชั้นต้นมีใจความว่า “… ข้าพเจ้า นายอมร เนติพิพัฒน์ ผู้ค้ำประกันขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อศาลนี้ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้แพ้คดีโจทก์ และคดีถึงที่สุด โดยจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระให้ตามคำพิพากษาเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ข้าพเจ้ายอมให้บังคับเอาจากหลักทรัพย์ที่ข้าพเจ้าได้นำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาลนี้…” ดังนั้น เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ แม้จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา แต่ศาลฎีกาพิพากษายืน เช่นนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงยังต้องรับผิดตามข้อความที่ระบุในหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวอยู่ ความรับผิดของผู้ร้องในฐานะของผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับนี้จะสิ้นไป ก็ต่อเมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาศาลใดศาลหนึ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ หรือในระหว่างฎีกาได้มีการทำหนังสือสัญญาค้ำประกันขึ้นใหม่
สิทธิของโจทก์ในอันที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 และผู้ร้องซึ่งต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลย่อมเป็นไปตามจำนวนหนี้ที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาอันเป็นชั้นที่สุด เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วบางส่วน ดังนั้น การออกคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เต็มจำนวนตามคำพิพากษาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง
ผู้ร้องทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อศาล ซึ่งเป็นองค์กรแห่งรัฐ เพื่อทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาล มิใช่ทำสัญญาค้ำประกันกับเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างบุคคล จึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.ในเรื่องค้ำประกัน ที่ให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยที่ 1 ก่อน แล้วจึงบังคับเอาแก่ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันในภายหลังมาปรับใช้แก่กรณีของผู้ร้อง โดยอาศัยเทียบบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าซื้อสินค้าจำนวน 9,221,794.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 1 หาประกันสำหรับต้นเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง” ศาลชั้นต้นอนุญาตตามที่จำเลยที่ 1 เสนอหลักประกันที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีนายอมร เนติพิพัฒน์ ผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องได้ทำสัญญาค้ำประกันตามคำสั่งศาลไว้แล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเพิ่มอีก 256,779 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกา และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 1 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับถึงวันฟังคำสั่งนี้ให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง” ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาหลักประกัน จำเลยที่ 1 ไม่มาศาลและไม่นำหลักประกันมาวางภายในกำหนดศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งศาลฎีกา ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 แพ้คดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คดีนี้ผู้ร้องได้เสนอหลักประกันต่อศาลเพื่อขอทุเลาการบังคับของจำเลยที่ 1 ในชั้นฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิ่มหลักประกัน มิฉะนั้นให้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับชั้นฎีกา ผู้ร้องไม่สามารถหาหลักประกันได้ จึงถือว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งศาลฎีกา ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 แพ้คดี เมื่อผู้ร้องไม่สามารถหาหลักประกันมาเพิ่มได้ และศาลได้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับชั้นฎีกาแล้ว อีกทั้งผู้ร้องมิได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ชั้นฎีกา ผู้ร้องจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้หนี้ตามคำพิพากษาแทนจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลคืนหลักประกันของผู้ร้องและขอให้เพิกถอนคำบังคับฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2541 และให้โจทก์ไปบังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องยังคงต้องผูกพันตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 20 ตุลาคม 2538 ไม่มีเหตุต้องคืนหลักทรัพย์และเพิกถอนการบังคับคดีตามที่ขอ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ยื่นฎีกา แต่เมื่ออ่านฎีกาทั้งฉบับ รวมทั้งผู้ลงชื่อผู้ร้องซึ่งเป็นทั้งทนายจำเลยที่ 1 และทนายผู้ร้องในขณะเดียวกัน ก็พออนุโลมได้ว่าเป็นฎีกาของผู้ร้องโดยโต้แย้งว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ย่อมมีผลบังคับเฉพาะในชั้นอุทธรณ์ เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำหลักประกันมาวาง มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง แต่จำเลยที่ 1 และผู้ร้องไม่สามารถหาหลักประกันมาวางได้ ศาลชั้นต้นจึงสั่งยกคำร้องขอทุเลาการบังคับ แสดงว่าผู้ร้องมิได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันในชั้นฎีกาแล้ว ความรับผิดของผู้ร้องย่อมหมดไป ผู้ร้องจึงควรหลุดพ้นจากความรับผิดในฐานะผู้ทำสัญญาค้ำประกันกับศาลนั้น เห็นว่า ข้อความตามหนังสือสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลชั้นต้นมีใจความว่า “…ข้าพเจ้า นายอมร เนติพิพัฒน์ ผู้ค้ำประกันขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อศาลนี้ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้แพ้คดีโจทก์ และคดีถึงที่สุด โดยจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระให้ตามคำพิพากษาเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ข้าพเจ้ายอมให้บังคับเอาจากหลักทรัพย์ที่ข้าพเจ้าได้นำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาลนี้…” ดังนั้น เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ แม้จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา แต่ศาลฎีกาพิพากษายืน เช่นนี้ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงยังต้องรับผิดตามข้อความที่ระบุในหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวอยู่ ความรับผิดของผู้ร้องในฐานะของผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับนี้จะสิ้นไปก็ต่อเมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาศาลใดศาลหนึ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ หรือในระหว่างฎีกาได้มีการทำหนังสือสัญญาค้ำประกันขึ้นใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
ผู้ร้องฎีกาต่อไปว่า คำบังคับฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2541 ไม่ชอบ เพราะระบุจำนวนหนี้ไม่ถูกต้องเกินกว่าความเป็นจริงนั้น เห็นว่า สิทธิของโจทก์ในอันที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 และผู้ร้องซึ่งต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลย่อมเป็นไปตามจำนวนหนี้ที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาอันเป็นชั้นที่สุด อย่างไรก็ดี เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วจำนวน 2,000,000 บาท ดังนั้น การออกคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เต็มจำนวนตามคำพิพากษาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
ที่ผู้ร้องฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 ก่อน เมื่อบังคับคดีไม่ได้หรือไม่เพียงพอแล้ว จึงบังคับเอาแก่ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันนั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อศาล ซึ่งเป็นองค์กรแห่งรัฐ เพื่อทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาล มิใช่ทำสัญญาค้ำประกันกับเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างบุคคล จึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. ในเรื่องค้ำประกัน ที่ให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยที่ 1 ก่อน แล้วจึงบังคับเอาแก่ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันในภายหลังมาปรับใช้แก่กรณีของผู้ร้อง โดยอาศัยเทียบบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ดังที่ผู้ร้องฎีกาโต้แย้ง ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำเงินจำนวน 2,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 ชำระแก่โจทก์ ตามที่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับวันที่ 26 มิถุนายน 2538 หักออกจากหนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องจะต้องชำระตามสัญญาค้ำประกันค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share