แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าโดยอ้างว่าสัญญาเช่าสิ้นสุดลง ได้บอกกล่าวให้ออกจากห้องเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้บังคับให้จำเลยออก และให้เสียค่าเช่าจนกว่าจะออกดังนี้ แม้จะถือว่าสัญญาเช่าเลิกกันแล้ว การที่จำเลยอยู่ต่อไปเป็นการละเมิด ผู้ให้เช่าต้องเรียกเป็นค่าเสียหาย ไม่ใช่ค่าเช่าก็ตาม แต่ตามฟ้องที่กล่าวก็พอถือได้ว่า ผู้ให้เช่าเรียกเอาค่าเสียหายเท่าในอัตราค่าเช่านั้นเอง ศาลย่อมพิพากษาให้ได้ไม่เป็นการเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าบ้านของโจทก์เลขที่ ๒๐ ฯลฯ เพื่อทำการค้ามีกำหนด ๒ ปี การเช่าสิ้นสุดลงในวันสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออกจึงขอให้บังคับให้จำเลยออกจากบ้านเช่า และให้จำเลยเสียค่าเช่าจนกว่าจะออก
จำเลยต่อสู้ว่า ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ห้องเช่ารายนี้เช่ากันเป็นที่สำหรับทำการค้า จึงมิได้รับความคุ้มครองพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ส่วนการที่จำเลยว่า ศาลไม่ควรพิพากษาให้ค่าเช่าแก่โจทก์ เพราะเลิกการเช่าแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องของโจทก์ ย่อมเข้าใจได้ว่า โจทก์ต้องการเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยเดือนละ ๗๐ บาท เท่าในอัตราค่าเช่าที่เคยชำระ ในฐานที่จำเลยขัดขืนอยู่ในบ้านเขาต่อไป ตนก็มีหน้าที่รับสนองการชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกว่าค่าเช่านั้น ก็ตีความสำหรับกรณีนี้ได้ว่า เรียกค่าเสียหายเท่าในอัตราค่าเช่านั้นเอง ไม่มีเหตุที่จำเลยจะโต้แย้งเป็นอย่างอื่นต่อไปอีกได้
จึงพิพากษายืน