แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา(ก)
ย่อสั้น
ชายหญิงแต่งงานอยู่กินกันฉันท์สามีภริยาโดยเปิดเผย มิได้จดทะเบียนสมรสจนเกิดบุตรด้วยกันนั้น ย่อมถือว่าบุตรนี้เป็นบุตรนอกกฎหมายแต่เมื่อปรากฎโดยพฤติการณ์ที่รู้กันโดยทั่วไปว่าบุตรนั้นเป็นบุตรของชายนั้น และเมื่อเด็กเกิดชายนั้นก็ได้ไปแจ้งทะเบียนว่าเป็นบุตรของตนดังนี้ ย่อมถือได้ว่าเด็กนั้นเป็นบุตรนอกกฎหมายบิดารับรองแล้ว เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาตาม ป.พ.พ.มาตรา 1627 และตามนัยฎีกาที่ 826/2492
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ ๑๑ ปีมานี้ นางช้อย ได้แต่งงานอยู่กินกับนายพลุ้ย ฉันท์สามีภริยาโดยเปิดเผยจนกระทั่งนายพลุ้ยวายชนม์ แต่มิได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกัน 3 คน ตายแล้ว 2 คน ยังเหลือ 1 คน คือ ด.ญ.ทองอู่ อายุ 9 ปี นายพลุ้ยไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตรไว้ แต่มีพฤติการณ์เป็นที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่า ด.ญ.ทองอู่เป็นบุตรนายพลุ้ย จึงขอให้ศาลแสดงว่า ด.ญ.ทองอู่เป็นบุตรนายพลุ้ยโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีสิทธิ์ได้รับมรดกนายพลุ้ย
ศาลชั้นต้นสั่งแสดงว่า ด.ญ. ทองอู่เป็นบุตรนายพลุ้ยโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่คำสั่งนี้จะมีผลเมื่อคดีถึงที่สุด ขณะนายพลุ้ยตาย ด.ญ.ทองอู่ยังไม่มีสิทธิ์รับมรดกเพราะยังไม่เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมรดกของนายพลุ้ยจึงตกทอดได้แก่ทายาททันที ซึ่งขณะนั้นก็มีจำเลยเป็นพี่สาวนายพลุ้ยอยู่ จึงให้ยกคำขอเรื่องมรดกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ด.ญ.ทองอู่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว มีสิทธิ์รับมรดกได้ จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยไม่มีสิทธิ์รับมรดกรายพิพาท มรดกรายพิพาทตกได้แก่ ด.ญ.ทองอู่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฎโดยพฤติการณ์ที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ด.ญ.ทองอู่เป็นบุตรนายพลุ้ย และเมื่อด.ญ.ทองอู่เกิด นายพลุ้ย ก็ได้ไปแจ้งทะเบียนว่าเป็นบุตรนายพลุ้ยด้วย ฉะนั้นจึงถือได้ว่าด.ญ.ทองอู่เป็นทายาทมีสิทธิ์ได้รับมรดกนายพลุ้ยตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 826/2492
อนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงรับรองว่า ด.ญ.ทองอู่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและให้มีสิทธิ์รับมรดกเช่นนี้ หาเป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องไม่ เพราะโจทก์ได้บรรยายถึงฐานะ ด.ญ.ทองอู่ไว้ในฟ้องว่าเป็นบุตรควรมีสิทธิ์ได้รับมรดก
แต่ปรากฏว่านายพลุ้ยตายก่อนนายอ่วมบิดา มรดกของนายพลุ้ยจึงตกได้แก่นายอ่วมบิดาด้วย ซึ่งตกทอดมาถึงจำเลยด้วย ฉะนั้นจึงพิพากษาแก้ว่า นายอ่วมและด.ญ.ทองอู่มีสิทธิ์รับมรดกนายพลุ้ยคนละกึ่ง ให้จำเลยกับ ด.ญ.ทองอู่ได้รับมรดกส่วนของนายอ่วมคนละกึ่ง