แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา(ก)
ย่อสั้น
(1) เมื่อผู้ทำพินัยกรรมตาย ที่ดินซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมย่อมตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมทันทีตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1673 โดยมิพักต้องทำพิธีรับมรดก และหรือเข้าครอบครองที่ดินนั้น โดยเหตุนี้ เจ้าของที่ดินเช่นว่านี้ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และขับไล่ผู้อาศัย
(2) ใบนำเพื่อจะไปเสียเงินบำรุงท้องที่นั้น ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน
(3) เนื่องจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลเรียกจำเลยเข้ามาในคดี อันเป็นอำนาจที่โจทก์และศาลจะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 ดังนั้น ฎีกาจำเลยที่ว่าก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวจำเลยร่วมและโจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิของจำเลย จึงฟังไม่ขึ้น
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของโจทก์ ได้ขับไล่จำเลยรื้อเรือนออกไปและห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินและโรงเรือนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัยปลูกอยู่นั้น เป็นของนางเจียมมารดาจำเลย จำเลยอาศัยนางเจียมอยู่ โจทก์ชอบที่จะฟ้องนางเจียม โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางเจียมมารดาจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
นางเจียมจำเลยร่วมให้การว่า ถ้านายคงทำพินัยกรรมยกที่ดินให้โจทก์ พินัยกรรมนั้นก็ไม่มีผล เพราะที่ดินเป็นของจำเลยร่วม ๆ ไม่เคยอาศัยที่ดินขายคงนางเพิ่มปลูกเรือนที่ที่ดินนี้นางเวียงยกให้ จำเลยร่วม ๆ ได้ครอบครองเป็นเจ้าของโดยสงบมาจนบัดนี้ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้รื้อเรือน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเรือนออกไป ห้ามเกี่ยวข้อง ฯ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยดังนี้
(๑) ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ยังมิได้ทำการรับมรดกตามพินัยกรรม และมิได้เข้าครอบครองที่พิพาทนั้น เห็นว่า ตามทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทและที่ภายในเส้นสีดำตามแผนที่วิวาทเดิมเป็นที่ของนางเวียง แล้วตกได้แก่นางเพิ่ม และนายคงบุตรสาวและบุตรเขย ต่อมานางเพิ่มตาย นายคงได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินรายนี้ให้โจทก์ นายคงตายที่ดินจึงตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1673 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ เพราะที่ดินเป็นของโจทก์แล้วตามพินัยกรรม โจทก์หาจำต้องทำการรับมรดกและเข้าครอบครองที่พิพาทแล้วจึงจะมีอำนาจฟ้องที่จำเลยฎีกาไม่
(๒) จำเลยฎีกาว่าประเด็นเรื่องอาศัย พยานหลักฐานโจทก์ไม่น่ารับฟัง นั้น เห็นว่า โจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร มีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนจำเลยมีแต่นางเจียมและเอกสาร ล.4 ก็เป็นแต่เพียงใบนำเพื่อจะไปเสียเงินบำรุงท้องที่เท่านั้น หาใช่เป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินดังที่จำเลยฎีกาไม่ พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟังว่าเป็นความจริงได้
(๓) จำเลยฎีกาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยร่วมออกไปจากที่พิพาทและโจทก์ไม่เคยโต้แย้งสิทธิของจำเลยร่วม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุที่โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้เรียกนางเจียมมาเป็นจำเลยร่วมนั้น เป็นเพราะนายประวิทย์จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินและโรงเรือนนี้โจทก์ฟ้องนั้น เป็นของนางเจียมมารดานายประวิทย์ นายประวิทย์เพียงแต่อาศัยนางเจียมมารดาอยู่ ศาลอนุญาต ทั้งนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 ซึ่งให้อำนาจโจทก์และศาลกระทำได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลย