แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษฐานลักทรัพย์มาแล้ว 2 คราวมากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ขึ้นอีกดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้าย ลงโทษกักกันแก่จำเลยได้
ความผิดในครั้งก่อนแม้จะเกิดขึ้นและพ้นโทษไปก่อนใช้พ.ร.บ.กักกันฯลฯก็ต้องถือว่าเป็นผู้เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาตาม ม.8 แล้ว
ระยะเวลาระหว่างโทษครั้งแรกกับโทษครั้งหลังจะห่างกันช้านานเท่าใดก็ลงโทษกักกันได้ ไม่เหมือนการเพิ่มโทษไม่เข็ดหลาบ
ย่อยาว
จำเลยเคยต้องโทษมาแล้ว ๔ ครั้งเป็นโทษฐานลักทรัพย์ ๒ ครั้ง ในครั้งนี้จำเลยถูกฟ้องฐานลักทรัพย์อีก โจทก์ขอให้ลงโทษกักกันแก่จำเลยด้วย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยและให้ลงโทษกักกันอีก ๓ ปี
จำเลยฎีกาสำหรับโทษกักกัน
ศาลฎีกาตัดสินว่าจำเลยต้องโทษฐานลักทรัพย์มาแล้ว ถึง ๒ คราวซึ่งมิใช่ความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษแต่ประการใดคดีจึงเข้าบท ม.๘ แห่ง พ.ร.บ.กักกันและเมื่อจำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้ายแล้ว ก็ย่อมนำ ม.๙ มาลงโทษกักกันแก่จำเลยได้ ส่วนข้อที่จำเลยว่า พ.ร.บ.กักันมุ่งให้ใช้แก่ผู้เคยต้องโทษแต่ ๓ ครั้งขึ้นไปนั้น ม.๘ มีความชัดแล้วว่า “ไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง” ส่วนที่จำเลยค้านว่าความผิดลักทรัพย์รายที่ ๑ เกิดขึ้นและพ้นโทษไปก่อนใช้ พ.ร.บ.กักกันจะนำโทษกักกันมาใช้มิได้นั้น เห็นว่าตาม ม.๘ ความผิดที่ต้องโทษมาก่อนจะเป็นเวลาก่อนหรือภายหลัง พ.ร.บ.กักกันที่ไม่สำคัญส่วนระยะเวลาระหว่างโทษครั้งแรกกับครั้งหลังก็ไม่มีกฎหมายระบุกำหนดไว้อย่างไรจะให้มีกำหนดอย่างการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบไม่ได้ จึงพิพากษายืนตาม