คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1452/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 1 ลงในทะเบียนสำมะโนครัวว่าเจ้าบ้านห้องพิพาทและมีบุตรหลานภริยาของจำเลยที่ 1 ร่วมอาศัยอยู่ด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะได้ซื้อห้องใหม่ไว้อีกแห่งหนึ่งแล้วแต่ยังคงไป ๆ มา ๆ ในห้องพิพาทและในสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้เช่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องพิพาทนี้ส่วนเกี่ยวดองอยู่ในครอบครัวของจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น ดังนี้ จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมเช่าในภาวะคับขัน
และการที่จำเลยที่ 1 เคยเอาหมูไปพักไว้ในที่พิพาทเป็นการชั่วคราวหรือเลี้ยงเป็ดไก่ ดังนี้ไม่เรียกว่าจำเลยประกอบกาค้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องกล่าวเป็นใจความสำคัญว่า จำเลยที่ ๑ เช่าที่ดินของโจทก์ปลูกห้องแถวเพื่อประกอบการค้า บัดนี้สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว และจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อห้องแถวเลขที่ ๔๙๐ ถนนยมจินดาและได้ย้ายครอบครัวมาอาศัยทำการค้าอยู่ในห้องใหม่นี้แล้ว จึงหมดความจำเป็นที่จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ต่อไป แต่จำเลยที่ ๑ ยังให้จำเลยที่ ๒ กับบริวารอยู่ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ รื้อห้องพิพาทออกไปจากที่ของโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมรื้อ ขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ ๑ รื้อถอนออกไปและขับไล่จำเลยที่ ๒ กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออก
จำเลยทั้งสองให้การและเพิ่มเติมให้การว่าจำเลยที่ ๑ ใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยมิใช่เพื่อประกอบการค้า ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นมารดาคงอยู่อาศัยในห้องพิพาทเลขที่ ๓๓๔ และจำเลยได้ต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ ที่ดินรายนี้เช่ากันปีละ ๑๕๐ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายถึงเดือนละ ๑๐๐ บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่เคยมีหนังสือแจ้งการโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยทราบ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาฟังต้องกันว่าที่พิพาทอยู่ในย่านทำเลการค้าและจำเลยเช่าเพื่อเจตนาค้าสุกรเป็นส่วนใหญ่ จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน โจทก์มีอำนาจฟ้องส่วนค่าเสียหายโจทก์ควรได้รับเพียงค่าเช่าเป็นรายเดือน ๆ ละ ๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ ๑ ออกไปจากที่โจทก์ภายใน ๑ เดือนและให้จำเลยที่ ๒ กับบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑๒ บาท ๕๐ สตางค์แต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรองให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์เช่าที่พิพาทเพื่ออยู่อาศัย เพราะจำเลยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันถึง ๑๗ คน จนต้องขยับขยายปลูกขึ้นอีกห้องหนึ่งการที่จำเลยที่ ๑ เอาหมูไปพักไว้ในที่พิพาทเป็นการชั่วคราวหรือเลี้ยงเป็ดไก่ดังนี้ ไม่เรียกว่าจำเลยประกอบการค้า
อนึ่งการที่จำเลยที่ ๒ ลงในทะเบียนสำมะโนครัวว่าเจ้าบ้านห้องพิพาทและมีบุตรหลานภริยาของจำเลยที่ ๑ ร่วมอาศัยอยู่ด้วย แต่จำเลยที่ ๑ คงไป ๆ มา ๆ ในบ้านพิพาทและสัญญาเช่าก็มีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องพิพาทนี้ล้วนเกี่ยวดองอยู่ในครอบครัวของจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้นจำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share