คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญามีผลเพียงให้โทษกักกันที่จำเลยได้รับอยู่เดิมเปลี่ยนลักษณะมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยอาญาจะมิได้ถือว่าการที่จำเลยถูกกักกันต่อมานั้นเป็นโทษก็ตาม ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้พ้นโทษกักกันนั้นไปแล้ว เพราะยังต้องถูกกักกันอยู่โดยผลแห่งคำพิพากษาของศาล
แต่เมื่อปรากฏว่า ศาลได้ปล่อยจำเลยไปโดยถือว่าจำเลยไม่เคยต้องคำพิพากษาให้กักกันศาลก็จะรื้อฟื้นขึ้นมาจำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกัน (เพื่อจะนำมาพิจารณาร่วมกับการกระทำผิดครั้งหลังให้กักกันตามมาตรา 41 แห่งประมวลกฎหมายอาญา) หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและจำเลยรับสารภาพได้ความว่า เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๐๑ เวลากลางคืน จำเลยได้เข้าไปลักเอาวิทยุฟิลลิปราคา ๑,๒๐๐ บาท ในเรือบรรทุกข้าวสารของนายเม้ง แซ่ตุน จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษกักกันมีกำหนด ๕ ปี จำเลยกลับมากระทำผิดในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ภายใน เวลา ๑๐ ปี และจำเลยมีอายุเกินกว่า ๑๗ ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๔๑, ๓๓๕ ให้จำคุก ๒ ปี ปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงเหลือ ๑ ปี พ้นโทษแล้วให้ส่งไปกักกันตามมาตรา ๔๑ มีกำหนด ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวน ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๓๐/๒๔๙๖ ของศาลอาญา ซึ่งจำเลยต้องโทษในคดีนั้นว่า ศาลได้พิพากษาจำคุกจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์มีกำหนด ๒ ปี นับแต่วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๕ และเมื่อครบกำหนดแล้วให้สงตัวไปกักกันตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายอีก ๕ ปี แต่ในระหว่างที่จำเลยต้องโทษกักกันอยู่ ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวจำเลยไปเมื่อวันที่ ๒๙ พ.ค. ๒๕๐๐ โดย โดยเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรค ๒ และมาตรา ๔๑ ศาลจะพิพากษาให้กักกันจำเลยไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดของจำเลยที่ต้องคำพิพากษามาแล้วนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๔๑ ก็เข้าเกณฑ์ที่ศาลอาจพิพากษาให้กักกันได้ โดยผลแห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ใช้บังคับในภายหลังจึงมีผลเพียงให้โทษกักกันที่จำเลยรับอยู่เดิมเปลี่ยนลักษณะมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย ตามมาตรา ๑๕ วรรคแรก เท่านั้นและแม้ตามประมวลกฎหมายอาญาจะมิได้ถือว่าการที่จำเลยถูกกักกันต่อมานั้น เป็นโทษโดยเป็นแต่เพียงวิธีการเพื่อความปลอดภัยที่จำเลยยังต้องรับต่อไปเท่านั้นก็ตาม ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้พ้นโทษกักกันนั้นไปแล้ว เพราะยังต้องถูกกักกันอยู่โดยผลแห่งคำพิพากษาของศาล
แต่ปรากฏว่า ศาลอาญา ได้ปล่อยจำเลยไปโดยถือว่าจำเลยไป โดยถือว่าจำเลยไม่เคยต้องคำพิพากษาให้กักกัน ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๐/๒๔๙๖ ฉะนั้น จะรื้อฟื้นขึ้นมากว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกันหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้กักกันจำเลยตามมาตรา ๔๑ ประมวลกฎหมายอาญา จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้ว่า เมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วให้ปล่อยตัวจำเลยไป

Share