แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การมอบอำนาจให้นำคดีมาฟ้องเป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้อง มิใช่สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และหนังสือมอบอำนาจก็ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องแนบมาพร้อมคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 คำให้การของจำเลยที่ต่อสู้ถึงการมอบอำนาจว่า จำเลยไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ได้แนบมาท้ายฟ้อง และหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลของโจทก์ออกไว้นานไม่เป็นปัจจุบัน จำเลยไม่เข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาเป็นการไม่ชอบ เพราะถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และไม่ก่อสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาปัญหาดังกล่าวต่อมา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้จำเลยชำระเงิน 37,143.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินไปเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2556 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 273 วัน คิดเป็นดอกเบี้ย 2,083.62 บาท รวมเป็นเงิน 39,227.60 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 37,143.98 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้โจทก์กับนางสาวสุรีรัตน์ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย 64,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนางสาวสุรีรัตน์ เข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์และโจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 37,143.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนคำฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะข้อ 2.1 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ชำระเกินในส่วนฟ้องเดิม 200 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด เดิมโจทก์ใช้ชื่อว่า บริษัทโตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย จำกัด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 โจทก์เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการประกันภัยและวินาศภัยต่างๆ โดยมีกรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนโจทก์ได้ ตามสำเนาหนังสือรับรอง โจทก์โดยนายโยชิคิ และนางสาวเพ็ชร กรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราบริษัทได้มอบอำนาจให้นายปกาศิต เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทน และให้มีอำนาจมอบอำนาจช่วง นายปกาศิตได้มอบอำนาจช่วงให้นายสุรกิจ เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ นายสุรกิจในฐานะผู้รับมอบอำนาจช่วงแต่งตั้งตนเองเป็นทนายความ และต่อมาก่อนจำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง โจทก์โดยนายปกาศิตได้รับรองแต่งตั้งให้นายสุรกิจให้เป็นทนายความของโจทก์อีกครั้ง ตามหนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วง และในระหว่างเกิดเหตุโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันของฝ่ายโจทก์ จำเลยฎีกาว่า ขณะที่ยื่นคำฟ้องโจทก์ไม่ได้แนบหนังสือมอบอำนาจให้นายปกาศิต เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์มาท้ายฟ้อง ทั้งหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลของโจทก์มีการออกให้ก่อนฟ้อง 1 ปี 6 เดือน และโจทก์ไม่ได้ยื่นเอกสารประกอบอำนาจหน้าที่ของกรรมการตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลของโจทก์ ทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าขณะยื่นฟ้องจำนวนกรรมการผู้มีอำนาจจะมีครบสองในสามหรือไม่ และมีการมอบอำนาจกันจริงหรือไม่ เป็นฟ้องเคลือบคลุม เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้งว่า ในการฟ้องและดำเนินคดีนี้โจทก์มอบอำนาจให้นายปกาศิต เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ และให้มีอำนาจมอบอำนาจช่วงได้ โดยนายปกาศิตมอบอำนาจช่วงให้นายประจักษ์ และหรือนายสุรกิจ เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีนี้แทน ดังปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วง ส่วนสำเนาหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่มอบอำนาจให้นายปกาศิตฟ้องคดีแทนโจทก์และมีอำนาจมอบอำนาจช่วงนั้น โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าจะนำส่งในชั้นพิจารณา และต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ก็ได้ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวต่อศาลแล้ว โดยที่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นผู้ทำละเมิดต่อรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิ เมื่อคำฟ้องโจทก์ได้กล่าวไว้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ถึงการมอบอำนาจดังกล่าวว่าจำเลยไม่สามารถตรวจความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ได้แนบมาท้ายฟ้องขณะที่ยื่นคำฟ้องได้ และหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลของโจทก์ออกไว้นานไม่เป็นปัจจุบัน จำเลยไม่เข้าใจและสามารถต่อสู้คดีก็ตาม แต่ข้อที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้อง มิใช่สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคหนึ่ง และหนังสือมอบอำนาจก็ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องแนบมาพร้อมคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 คำให้การของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาเป็นการไม่ชอบเพราะถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และไม่ก่อสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาปัญหาดังกล่าวต่อมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 และยกฎีกาจำเลยให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ