คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแทน ในวันทำสัญญา โจทก์ได้วางมัดจำไว้ 5,000 บาท จึงเป็นสัญญาจะซื้อขายที่ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 การตั้งตัวแทนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 798

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 3326 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 และนางสาวบัวไหล ชูจุ้ย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันให้โจทก์ในราคาไร่ละ 17,000 บาท รวมเป็นเงิน 26,380 บาท โจทก์วางเงินมัดจำ 5,000 บาท กำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2530ต่อมา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบัวไหลผู้ตาย ครั้นถึงกำหนด โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยตกลงหรือมอบหมายให้ผู้ใดขายที่ดินมีโฉนดส่วนของตนตามฟ้องแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 ตกลงจะขายที่ดินมีโฉนดส่วนของตนตามฟ้องรวมทั้งที่ดินแปลงอื่นให้โจทก์เนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ ในราคาไร่ละ 17,000 บาท โจทก์วางเงินมัดจำ 5,000 บาท ให้จำเลยลงชื่อรับไว้ในกระดาษบันทึกข้อความจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินจำนวนครึ่งหนึ่งก่อน โจทก์ไม่ชำระโดยว่าจะชำระให้ครั้งเดียวทั้งหมดในเดือนธันวาคม 2530ต่อมาโจทก์บอกจำเลยที่ 1 ว่าตกลงจะซื้อเฉพาะที่ดินมีโฉนดเท่านั้นเนื่องจากที่ดินแปลงอื่นนำไปเข้าธนาคารไม่ได้ จำเลยที่ 1 ไม่ตกลงด้วย โดยถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินในส่วนของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ด้วย หากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นนี้ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทโฉนดตราจองเลขที่ 3326 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 21 ตารางวามีชื่อจำเลยที่ 1 กับนางสาวบัวไหล ชูจุ้ย เป็นเจ้าของรวม ต่อมานางสาวบัวไหลถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางสาวบัวไหลจึงตกเป็นมรดกแก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นทายาท แต่ยังมิได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ครั้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ 17,000 บาทโจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญา 5,000 บาท นัดจดทะเบียนโอนภายในปี 2530โดยจำเลยที่ 1 ทำสัญญาในฐานะส่วนตัวและอ้างว่าทำสัญญาในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 ด้วย ดังปรากฏตามหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.1 วันที่11 กันยายน 2530 จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบัวไหลผู้ตายได้จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรวมในโฉนดแทนผู้ตาย เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจะซื้อขายจำเลยทั้งสองไม่ยอมจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ผูกพันจำเลยที่ 2หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางหญิง สังขธูป มารดาโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า หลังจากมีการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองเคยไปบ้านนางหญิงเพื่อหาโจทก์แต่ไม่พบ ครั้งที่สองจำเลยทั้งสองได้พากันไปหาโจทก์ที่บ้านนางหญิงเพื่อขอรับเงินค่าที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งก่อนแต่ก็ไม่พบโจทก์ ครั้งที่สามจำเลยทั้งสองก็ได้ไปหาโจทก์อีก แต่ก็ไม่พบเช่นเดิม จำเลยทั้งสองเลยพูดว่าเมื่อเป็นที่ยุ่งยากก็ไม่ขายที่ดินดังกล่าวแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยไปบ้านมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 ขัดแย้งกับคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ซึ่งรับว่าเคยไปบ้านมารดาโจทก์สองครั้ง ครั้งแรกไปคนเดียว ครั้งที่สองไปกับจำเลยที่ 2 เพื่อขอรับเงินค่าที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งก่อน แต่โจทก์บอกว่าชำระทีเดียวทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2530 อันเป็นการเจือสมกับพยานโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 ได้ไปขอรับชำระเงินค่าที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งก่อน จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปขอรับชำระเงินค่าที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งก่อนจริง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทแทน และเมื่อปรากฏว่าในวันทำสัญญาโจทก์ได้วางมัดจำไว้ 5,000 บาทจึงเป็นสัญญาจะซื้อขายที่ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการให้รับผิดได้ จำเลยที่ 2ต้องร่วมโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share