แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ครอบครองมาจำเลยไปขอจดทะเบียนออกโฉนดว่าเป็นที่ของผู้อื่น ขอให้ห้ามจำเลยต่อสู้ว่าเป็นนาของภริยาจำเลยครอบครองมาไม่ใช่นาของโจทก์ ดังนี้แม้จะปรากฎว่าจำเลยกับภริยาสมรสกันโดยมิได้จดทะเบียนจำเลยก็อาจอ้างอำนาจของคนที่ 3 เป็นข้อต่อสู้ของโจทก์ได้ เพราะถ้าข้อเท็จจริงฟังได้สมข้อต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นเป็นของภริยาจำเลย ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจที่จะห้ามจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานหอทะเบียนรังวัดที่นาของโจทก์ เพื่อออกโฉนดว่าที่พิพาทเป็นมฤดกนางจั่น จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่นาพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า นาพิพาทเป็นมฤดกของนางจั่น มารดาโจทก์และภริยาจำเลย เมื่อนางจั่นตายบุตรทุกคนตกลงยกนาให้เป็นของภริยาจำเลย ๆ ปกครองมา ๓ ปีเศษแล้ว นาพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิของภริยาจำเลย
ชั้นพิจารณาคู่ความรับกันว่า ที่นาพิพาทเป็นของนางจั่นมารดาโจทก์และภริยาจำเลยจริง นางจั่นตายเมื่อเดือน ๘ พ.ศ. ๒๔๘๗ จำเลยมาได้นางชื้นเป็นภริยาเมื่อภายหลังที่นางชื้นได้นาแปลงพิพาทแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่คงโต้เถียงข้อเท็จจริงกันถึงเรื่องการครอบครองดังที่โจทก์ฟ้อง และจำเลยต่อสู้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน และเห็นว่าที่พิพาทยังไม่ได้จดทะเบียนการโอน จึงฟังได้ว่าโจทก์กับภริยาจำเลยมีสิทธิในที่นั้นอยู่ จำเลยมิได้จดทะเบียนสมรสกับนางชื้น จึงไม่มีอำนาจเกี่ยวกับทรัพย์ของนางชื้นภริยา จึงพิพากษาห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวกับทรัพย์ที่พิพาท ส่วนกรรมสิทธิยังชี้ขาดเป็นของโจทก์คนเดียวไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการสืบพยาน แล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยอ้างอำนาจของนางชื้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ฉนั้นถ้าข้อเท็จจริงฟังได้สมข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าที่รายพิพาทเป็นของนางชื้น ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจที่จะห้ามจำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน